LPN จับมือ สสส. อัพเกรดชุมชนน่าอยู่

LPN จับมือ สสส.อัพเกรดชุมชนน่าอยู่ให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น "ทิฆัมพร เปล่งศรีสุข" เร่งวางแผนพัฒนาเพื่อรองรับผู้อยู่อาศัยทุกวัยให้มากขึ้น เพื่อความเป็นครอบครัวที่อบอุ่นและชุมชนที่แข็งแกร่ง อีกทั้งตั้ง LPC บริษัทแม่บ้านช่วยเหลือสตรีด้อยโอกาส


LPN จับมือ สสส. อัพเกรดชุมชนน่าอยู่ thaihealth


แฟ้มภาพ


นายทิฆัมพร เปล่งศรีสุข ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN  กล่าวว่า LPN ได้ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. เพื่อพัฒนาชุมชนน่าอยู่ของ LPN ให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น โดยเพิ่มความใส่ใจผู้อยู่อาศัยทุกวัยมากขึ้น


ชุมชนน่าอยู่


"เดิม LPN มีคอนเซ็ปต์เป็นชุมชนน่าอยู่ ซึ่งก็ยังคงเป็นชุมชนน่าอยู่เช่นเดิม แต่จะน่าอยู่ยิ่งขึ้น เนื่องจาก LPN ได้เล็งเห็นถึงคุณค่าของคำว่าครอบครัว จากผลการศึกษาของ สสส. และเห็นว่าชีวิตคนเมืองอยู่อาศัยบนตึกสูงมากขึ้น ทำให้ LPN ต้องการพัฒนาให้คอนโดมิเนียมของ LPN สามารถรองรับผู้อยู่อาศัยได้ทุกเพศ ทุกวัย มากขึ้น"


ส่วนในต่างประเทศผู้สูงอายุที่ชอบเข้าสังคมและเป็นโสดมักจะชอบอาศัยอยู่ในอาคารสูง ซึ่งในประเทศไทยยังมีผู้สูงอายุกลุ่มนี้น้อย แต่ในอนาคตเชื่อว่าจะมีผู้สูงอายุเข้ามาอาศัยในอาคารสูงมากขึ้น LPN จึงใส่ใจและพัฒนาเพื่อตอบรับทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัย โดยเรียกสถาปนิกมาพูดคุยเพื่อออกแบบห้องสำหรับผู้สูงวัยในอนาคต


"LPN จะไม่เพียงเป็นบ้าน แต่ยังเป็นชุมชนอีกด้วย ในชุมชนที่แข็งแกร่ง เท่ากับ ครอบครัวแข็งแกร่ง หากครอบครัวมีความสุข ไม่ว่าห้องจะเล็กแค่ไหนก็มีความสุข การที่ LPN ร่วมมือกับ สสส .ในครั้งนี้ทำให้มองเห็นแนวทางมากขึ้นว่าคนในชุมชนต้องการอะไร LPN จึงยินดีที่จะเป็นเวทีให้ สสส. ได้ใช้พัฒนาชุมชนน่าอยู่ให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นสำหรับคนทุกวัย ซึ่งไม่เพียงแต่จะนำมาใช้กับ LPN ได้เท่านั้น ยังสามารถนำไปต่อยอดพัฒนา และใช้กับโครงการอื่นๆ ได้อีกด้วย"


สนับสนุนอาชีพ


นอกจากนี้บริษัทยังมี บริษัท ลุมพินี พร็อพเพอร์ตี้เซอร์วิส แอนด์ แคร์ จำกัด หรือ LPC  ซึ่งเป็นบริษัทแม่บ้านทำความสะอาดที่ LPN ใช้ในโครงการต่างๆ ของ LPN โดย LPN ได้ให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มสตรีด้อยโอกาส โดยการให้โอกาสเข้ามาทำงาน และให้เงินเดือนที่สูง เพื่อช่วยเหลือเหล่าสตรีด้อยโอกาสให้มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมอีกด้วย


สำหรับผลการวิจัยจาก 2,040 ครอบครัวในเขตพื้นที่เมืองจาก 11 พื้นที่ พบว่า 1 ใน 3 ไม่แน่ใจว่าสามารถเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม และพบว่า 1 ใน 3 เข้าใจผิดเกี่ยวกับการวางเป้าหมายของครอบครัว  โดย  60% วางเป้าหมายแค่เรื่องทำมาหากิน 20% ไม่มีการวางเป้าหมายของครอบครัวร่วมกัน โดยส่วนใหญ่มองว่าถ้ายังพร้อมหน้าพร้อมตากัน ไม่มีใครเป็นอะไร ยังไม่วิกฤติ ถือว่ายังโอเคอยู่


ทั้งนี้จากกลุ่มตัวอย่าง พบว่าครอบครัวไม่มี โอกาสเรียนรู้ ไม่มีการเรียนการสอนจากรุ่นสู่รุ่น ขาดการถ่ายทอดความรู้เรื่องครอบครัวจากปู่ ย่า ตา ยาย จากสมัยก่อนที่ปู่ ย่า ตา ยาย จะนำบุตรหลานนั่งตักสอนสิ่งต่างๆ เมื่อเป็นครอบครัวเมืองในปัจจุบัน ไม่ได้อยู่กับปู่ ย่า ตา ยาย จึงขาดโอกาสเรียนรู้ และขาดความอบอุ่นในส่วนนี้ มีความต่างคนต่างอยู่กับเพื่อนบ้าน 20% ช่วยเหลือกันน้อยจนถึงไม่ช่วยเหลือ 20% ไม่มีใครให้พูดคุย ระบาย ปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวได้เลย 24% ต้องการให้มีศูนย์ให้คำปรึกษาด้านจิตใจและครอบครัว


ส่วนสุขภาวะของครอบครัวในเมือง 78% ใส่ใจระแวดระวังในเรื่องยาเสพติด 70% ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ 20% ติดสิ่งเสพติดชนิดอื่นๆ 80% เล่นการพนัน เล่นหวย ลอตเตอรี่ และมีการเสี่ยงโชคในรูปแบบอื่นๆ 10% ยอมรับว่าจัดการกับความเครียดได้น้อยมากหรือไม่ได้เลย 30% เห็นว่ามีคนที่มีปัญหาสุขภาพจิตในชุมชน โดยครอบครัว


ในเมืองไม่มีเวลา 60% ของครอบครัวที่ไม่ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน 30% ของครอบครัวที่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายร่วมกัน เนื่องจากเดินทางเฉลี่ยวันละ 2-3 ชั่วโมง คิดค่าเดินทางเป็น 18% ของรายจ่ายต่อวัน มี 20% ของครอบครัวในเมืองต้องการให้มีระบบขนส่งสาธารณะที่เพียงพอและทั่วถึงและไม่แพง


พัฒนาชุมชน


สำหรับการดูแลและความกังวลต่อผู้สูงอายุของครอบครัวในเมือง 73% ดูแลผู้สูงอายุได้อย่างถูกต้องเหมาะสม 70% ผู้สูงอายุไม่เป็นภาระแก่ลูกหลาน 75% เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วม 68% คิดว่าผู้สูงอายุในครอบครัวมีความสุขดี 50% กลัวผู้สูงอายุเหงา น้อยใจ 24% กังวลเรื่องไม่มีคนช่วยดูแลผู้สูงอายุ 28% กังวลว่าจะไม่มีเวลาพาผู้สูงอายุไปเที่ยว 27% กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล 14% เป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ประจำวัน


นพ.ชาญวิทย์ วสันต์ธนารัตน์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กล่าวว่า จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นความสำคัญของการพัฒนาชุมชน เราใช้เวลาหลายปีในการศึกษาความหมายของคำว่าคนเมือง


และหลังจากนี้รูปแบบชีวิตของคนเมืองที่เปลี่ยนไป อาจทำให้ต้องใช้เวลาอีก 10-20 ปีในการทำความเข้าใจใหม่ แต่คนเมืองรุ่นใหม่นิยมอยู่อาศัยในอาคารสูงอย่างคอนโดมิเนียมมากกว่าการอยู่อาศัยในบ้านเดี่ยวเป็นหลังๆ มากขึ้น คอนโดมิเนียมในอนาคตจึงจะเป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย แต่เป็นชุมชนด้วย สสส. จึงเข้ามาร่วมกับ LPN เพื่อพัฒนาชุมชนน่าอยู่ให้อบอุ่นและแข็งแกร่ง เพื่อให้คนทุกวัยสามารถอยู่ร่วมกันได้ ซึ่งจะสร้างความสุขอย่างยั่งยืน


 


 


ที่มา: หนังสือพิมพ์ทันหุ้น


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ

Shares:
QR Code :
QR Code