Fight for fit ‘สู้สุดใจ หัวใจสุดฟิต’

เรื่องโดย อาภาวรรณ โสภณธรรมรักษ์ Team content www.thaihealth.or.th


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


Fight for fit \\'สู้สุดใจ หัวใจสุดฟิต\\' thaihealth


แฟ้มภาพ


ไม่ว่าจะเป็นการแกว่งแขน เพื่อลดพุงลดโรค กิจกรรมการวิ่งที่จัดกันทุกอาทิตย์ หรือกิจรรมการออกกำลังกายต่างๆ ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กำลังรณรงค์ให้คนไทยทุกคนหันมาออกกำลังกาย และใส่ใจสุขภาพนั้น ก็เพื่อลดภาวะความเสี่ยงจากโรคไม่ติดต่อเรื้องรัง (NCDs) อันได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวาน และมะเร็ง และลดภาวะเนือยนิ่งของคนไทย


รวมทั้งองค์การอนามัยโลกให้คำแนะนำอีกด้วยว่า ผู้ใหญ่ควรออกกำลังอย่างน้อยวันละ 30 นาที อาทิตย์ละ 5 วัน ส่วนเด็กๆ ควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมงทุกวัน เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ กระดูกและข้อต่อ ระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจทำงานได้ดีขึ้น


คลาส Fight for fit  : สู้สุดใจ หัวใจสุดฟิต โดย สสส. จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการออกกำลังกายให้กับกลุ่มคนรักสุขภาพ และประชาชนทั่วไป โดยมีทีมนักวิทยาศาสตร์การกีฬา มาสอนและแนะนำการออกกำลังกาย


Fight for fit \'สู้สุดใจ หัวใจสุดฟิต\' thaihealthโค้ชสุดแกร่งประจำคลาส อย่าง จิรายุ ลิ่มศิลา หรือ โค้ชฟ่าน บอกว่า การออกกำลังกายนั้นสามารถจำแนกออกเป็น 3 ด้านคือ 1) พัฒนาระบบไหลเวียนเลือด 2) พัฒนาระบบกล้ามเนื้อ 3) พัฒนาความยืดหยุ่น สำหรับคลาสนี้เน้น 2 ด้านคือ พัฒนาระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจ และพัฒนาระบบกล้ามเนื้อ


โค้ชฟ่าน เล่าต่อว่า คลาสนี้เป็นเรื่องของศิลปะการต่อสู้ และการป้องกันตัว แบ่งออกเป็น 4 วันคือ วันอังคารเป็นคลาส Cadio KickBoxing เป็นการนำท่ามวยไทยไปประกอบจังหวะเพลง ได้เพิ่มความแข็งแรงให้ระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจ จุดเด่นของคลาสนี้คือความสนุกสนานและท่าไม่ยากเกินไป


สำหรับวันพุธคือ Sports Conditioning เป็นการนำอุปกรณ์ด้านการฝึกกีฬาเข้ามาใช้ในการออกกำลังกาย เพื่อเสริมทักษะด้านความคล่องตัวของร่างกาย การตัดสินใจ และการตอบสนองของร่างกาย การปรับเปลี่ยนทิศทาง และการทรงตัว สามารถนำมาประยุกต์ใช้ฝึกกีฬาด้านต่างๆ เช่น วอลเล่ย์บอล ฟุตบอล แบตมินตัน ฯลฯ จุดเด่นของคลาสนี้คือ ความหลากหลายของท่าท่างและอุปกรณ์หลากหลาย ผู้เข่าร่วมจะได้เจอการฝึกใหม่ๆ เสมอ


ต่อกันที่วันพฤหัสบดี คือคลาส Fighting Fit ที่นำท่าพื้นฐานของศาสตร์การต่อสู้อย่างคาราเต้ ยูโด มวย และเทควันโด มาประยุกต์ใช้ในการออกกำลังกาย เพื่อพัฒนาระบบหัวใจและหลอดเลือด และถ้าหากผู้เรียนปฎิบัติอย่างต่อนื่องก็จะสามารถสร้างความทนทาน (edurancde) ให้กล้ามเนื้อได้


ทิ้งท้ายของสัปดาห์กันที่คลาสวันศุกร์ Self Defense เป็นการป้องกันตัว โดยสอนทั้งการป้องกันตัวเพื่อเอาตัวรอด และเอาตัวรอดเพื่อต่อสู้คืน เช่น วิธีการปลดมีด ปลดปืน ปลดล็อกจากคอ และถ้าหากผู้เรียนรู้พื้นฐาน ทำท่าอย่างต่อเนื่องจะพัฒนาการตอบสนองที่ดีขึ้น ได้ความรู้เรื่อศิลปะการป้องกันตัว และมีไหวพริบโต้ตอบคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว


Fight for fit \'สู้สุดใจ หัวใจสุดฟิต\' thaihealthFight for fit \'สู้สุดใจ หัวใจสุดฟิต\' thaihealth


Fight for fit \'สู้สุดใจ หัวใจสุดฟิต\' thaihealthFight for fit \'สู้สุดใจ หัวใจสุดฟิต\' thaihealth


สิ่งที่ควรระวังในการเข้าร่วมคลาสเรียนนี้ โค้ชฟ่าน เตือนว่า สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่าง เบาหวาน ความดัน และหัวใจ ควรปึกษาแพทย์ก่อนเข้าร่วมการออกกำลังกาย ตรวจเช็คร่างกาย และอัตราการเต้นของหัวใจก่อนออกกำลังกายเสมอๆ โค้ชจะย้ำเสมอว่า ให้ออกกำลังกายเท่าที่ร่างกายตัวเองรับไหว ไม่ควรฝืนร่างกาย และสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านหัวเข่า หรือข้อเท้า ก็ควรระวังการบาดเจ็บ


“ถ้ามีโอกาสได้ลองเข้ามาเรียนสักคลาสหนึ่ง ผู้เรียนจะได้ความคล่องตัวขึ้น ถ้าเป็นคนไม่ขยับเลยจะกระฉับกระเฉงมากขึ้น ถ้าไม่ออกกำลังกายเลย กล้ามเนื้อผู้เรียนจะแข็งแรงมากขึ้น ถ้าเป็นคนที่เหนื่อยง่ายก็จะเหนี่อยช้าลงและร่างกายจะทนทานมากขึ้น เกิดการตอบสนองและโต้ตอบได้เร็วขึ้น


การออกกำลังกายไม่ได้ยากนะครับ แต่ยากตรงที่เราต้องออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าออกกำลังกายเราก็จะเป็นคนที่แข็งแรง และมีศักยภาพร่างกายที่ดีขึ้น และที่สำคัญได้ลดภาวะเนือยนิ่งของคนไทย รวมถึงห่างไกลจากโรคไม่ติดต่อเรื้องรังด้วย หากใครสนใจก็มาร่วมกิจกรรมกันที่ สสส.ได้ครับ” โค้ชฟ่าน ทิ้งท้าย


Fight for fit \'สู้สุดใจ หัวใจสุดฟิต\' thaihealthFight for fit \'สู้สุดใจ หัวใจสุดฟิต\' thaihealth


ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ ณ ลานเอนกประสงค์ สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติฯ 80 พรรษา (ติดกับอาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส.) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 0-2343-1500 กด 2, 081-731-8270 (วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-17.00 น. เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)

Shares:
QR Code :
QR Code