Page 146 - แผนการดำเนินงาน สสส. ประจำปี 2561
P. 146
เด็กอยู่ตามล�าพัง ครอบครัวผู้สูงอายุอยู่ตามล�าพัง ครอบครัวเพศเดียวกัน ครอบครัวที่ต้องดูแลสมาชิกที่
เจ็บป่วย พิการ ต้องขัง เป็นต้น ด้านสถานภาพของครอบครัว ทั้งชายและหญิงแต่งงานช้าลง มีการจดทะเบียน
สมรสน้อยลง ผู้หญิงมีแนวโน้มครองโสดสูง การหย่าร้างมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งยังมีปัญหาที่เกิด
ภายในครอบครัว ได้แก่ ความยากจนและหนี้สิน ที่เกิดจากการขาดความรู้-ทักษะในการประกอบอาชีพ
การขาดโอกาสเข้าถึงทรัพยากรและข้อมูลข่าวสาร รวมถึงระบบการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ความรุนแรงในครอบครัว สัมพันธภาพและการสื่อสาร
144
ในครอบครัวที่ลดลง บทบาทหน้าที่ในการดูแลสมาชิกครอบครัวไม่เหมาะสม เด็กและผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง
ปัญหาอบายมุข การพนัน บุหรี่ เหล้า และสารเสพติด ล้วนส่งผลต่อความมั่นคงและความเข้มแข็งของ
ครอบครัว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งโครงสร้างและพฤติกรรมการด�ารงชีวิต ส่งผลให้ครอบครัวไม่สามารถท�า
บทบาทหน้าที่ของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ สัมพันธภาพในครอบครัวลดลง เห็นได้จากดัชนีครอบครัวอบอุ่น
ลดลงจากร้อยละ ๖๘.๓๑ ในปี ๒๕๕๕ เป็นร้อยละ ๖๕.๓๔ ในปี ๒๕๕๘ และดัชนีด้านบทบาทหน้าที่อยู่ในระดับ
ต้องปรับปรุง ในขณะที่ดัชนีด้านสัมพันธภาพอยู่ในระดับที่ต้องเร่งแก้ไขมาโดยตลอด
เด็กปฐมวัย (แรกเกิด - ๕ ปี) ยังมีปัญหา พัฒนาการไม่สมวัย และพัฒนาการล่าช้า ร้อยละ ๒๗.๕
พบว่าพัฒนาการที่ล่าช้าที่สุดคือด้านภาษา สาเหตุส่วนใหญ่มาจากครอบครัวไม่มีความรู้และไม่มีเวลาในการ
ดูแลเด็กปฐมวัย โดยเฉพาะในช่วงแรกเกิดถึง ๓ ปี สมองจะมีพัฒนาการสูงสุดและส่งผลต่อระดับสติปัญญา
บุคลิกภาพ และความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองได้
ร้อยละ ๒๐ - ๓๐ แต่มี แม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียว ๖ เดือน เพียงร้อยละ ๒๓.๑ (การส�ารวจ
แผนการดำาเนินงานประจำาปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
สถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๕๙) ความพิการแต่กำาเนิด (Birth Defects)
เป็นภาวะที่พบได้บ่อย โดยมีอุบัติการณ์ประมาณร้อยละ ๓ - ๕ ของทารกเกิดมีชีพ เช่น ปากแหว่งเพดานโหว่
กลุ่มอาการดาวน์ เป็นต้น ซึ่งความพิการแต่ก�าเนิดนี้ส่งผลกระทบต่อครอบครัว และเป็นปัญหาระดับประเทศ
โดยเฉพาะด้านค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาทารกกลุ่มนี้ โภชนาการไม่เหมาะสม ทั้งของมารดาและเด็ก ได้แก่
การขาดสารไอโอดีนในหญิงตั้งครรภ์ ส่งผลให้สมองของทารกในครรภ์เจริญเติบโตไม่เต็มที่ ท�าให้เด็ก
มีพัฒนาการไม่สมวัย รวมถึงปัญหาโภชนาการในเด็กปฐมวัย ทั้งภาวะโภชนาการเกินที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๕.๘
ในปี ๒๕๓๘ เป็นร้อยละ ๑๑.๔ ในปี ๒๕๕๗ และภาวะพร่องโภชนาการหรือภาวะทุพโภชนาการ พบว่า ปี ๒๕๕๗
เด็กปฐมวัย มีน�้าหนักต�่ากว่าเกณฑ์มาตรฐานถึงร้อยละ ๕.๕ (รายงานสุขภาพคนไทย ๒๕๖๐) ข้อมูลกรมอนามัย
กระทรวงสาธารณสุข พบว่า พัฒนาการเด็กปฐมวัยมีแนวโน้มคงที่ คือ พัฒนาการปกติ ร้อยละ ๗๑.๗
ในปี ๒๕๔๒ และ ปี ๒๕๕๗ พัฒนาการปกติ ร้อยละ ๗๒.๘ รวมถึงความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional
Quotient : EQ) พบว่า ผลส�ารวจโดยกระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี ๒๕๕๙ อยู่ในเกณฑ์ปกติ ร้อยละ ๗๗
ปัญหาด้านการดูแลและการเลี้ยงดู จากสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้พ่อแม่มักส่งเด็กให้
สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นผู้ดูแลแทน จากข้อมูลของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย (๒๕๕๕)
แสดงว่า เด็กปฐมวัยไทย (แรกเกิด - ๕ ปี) มีจ�านวน ๔,๖๑๒,๑๘๒ คน อยู่ในความดูแลของศูนย์พัฒนา
เด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๙๑๑,๑๔๓ คน และอยู่ในโรงเรียนอนุบาล ๑,๗๙๙,๑๒๕ คน นอกนั้น
อยู่ในความดูแลของพ่อแม่-ผู้ปกครอง สถานรับเลี้ยงเด็ก และอื่นๆ รวม ๑,๙๐๑,๙๑๔ คน ซึ่งพบว่า การจัดการ
ดูแลและการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย มีความแตกต่างด้านคุณภาพและมาตรฐาน
ทั้งการบริหารจัดการ ด้านวิชาการ ด้านบุคลากร และด้านนโยบายสนับสนุนจากผู้บริหาร