Car free day 2008 ช่วย “กรุงเทพฯ เมืองหน้าอยู่”
แนะคนกรุงปั่นจักรยาน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี
กรุงเทพเป็นเมืองน่าอยู่ จริงหรอ??? จากสภาพแวดล้อมในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยฝุ่น ควัน และมลพิษทางเสียงที่เกิดจากรถยนต์ที่วิ่งกันอย่างคับคั่งบนท้องถนน แถมยังมีเรื่องของปัญหาขยะมูลฝอย ที่ไหนมีคนมาก ที่นั่นย่อมมีขยะมาก และส่งกลิ่นเหม็นรบกวน ปัญหาเล่านี้ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของคนกรุงเทพฯ อยู่ในขณะนี้ แล้วอย่างนี้จะเรียกว่ากรุงเทพเป็นเมืองน่าอยู่ได้อย่างไร!!!!
ด้วยเหตุนี้ ทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)จึงได้ร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร(กทม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดงานเสวนา “คุณภาพชีวิตคนเมือง….กับผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่” ขึ้น เนื่องจากในช่วงนี้เป็นช่วงหาเสียงของผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่ากทม.จึงอยากให้หันมาสนใจกับคุณภาพชีวิตของคนเมืองกันอย่างจริงจัง
ศ.ดร.ธงชัย พรรณสวัสดิ์ กรรมการบริการแผนคณะ 5 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ(สสส.) กล่าวว่า การจะทำให้กรุงเทพฯเป็นเมืองน่าอยู่ ต้องสนใจในเรื่องของคุณภาพอากาศ ซึ่งมลพิษส่วนใหญ่มาจากรถ ยิ่งในกรุงเทพมีรถมากๆ มลพิษยิ่งมากตามไปด้วย โดยที่ผ่านมาได้มีการจัดการในส่วนของระบบขนส่งมวลชนให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนใช้รถส่วนตัวน้อยลงแล้วหันไปใช้ระบบขนส่งมวลชน หรือเดิน ใช้จักรยานแทน เพื่อเป็นการช่วยลดมลพิษต่างๆ
“ผมคิดว่าผู้บริหารกทม.คนใหม่ต้องสร้างความเข้าใจ ว่าการรณรงค์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการขี่จักรยานหรือการเดิน ที่จะช่วยลดมลพิษนั้น ไม่ใช่ทำแค่เฉพาะในวันสำคัญๆหรือเทศกาลเพียงวันเดียวเท่านั้น แต่อยากให้หันมาคิดในเรื่องของความต่อเนื่องในการรณรงค์ ความปลอดภัย และการช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่นๆ การจะทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่จึงจะเกิดขึ้นได้จริง” กรรมการบริการแผน สสส.กล่าว
ด้านทพ.อนุศักดิ์ คงมาลัย สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวว่า ผู้คนต่างจังหวัดมักมองว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าอยู่ ใครๆก็แห่กันเข้ามาทำงาน ซึ่งจริงๆแล้วกรุงเทพฯ เป็นเมืองที่เรียกว่าพร้อมมากกว่าในเรื่องของเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ แต่ในเรื่องของสภาพแวดล้อมเทียบกับต่างจังหวัดไม่ได้เลย
“ตัวผมเองเป็นคนต่างจังหวัด ผมมองว่าอากาศที่บ้านผมบริสุทธิ์กว่าที่กรุงเทพฯ เพราะต่างจังหวัดมีรถวิ่งน้อยกว่าในกรุงเทพฯ อีกทั้งคนในเมืองใหญ่มักอยู่ในภาวะแก่งแย่ง ตึงเครียด ผู้ว่ากรุงเทพฯ คนใหม่จึงไม่ควรมองข้าม นโยบายที่จะสร้างการมีส่วนร่วม มีกิจกรรมต่างๆ เพื่อลดความตึงเครียดของประชาชน เพื่อสุขภาพจิตที่ดีด้วย” ทพ.อนุศักดิ์ กล่าว
ส่วนดร.เจษฏ์ โทณะวณิก คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม กล่าวว่า การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และลดภาวะโลกร้อนในกรุงเทพนั้น ผู้ว่ากทม.ไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ สิ่งสำคัญคือประชาชน ซึ่งต้องดึงให้เข้ามามีส่วนร่วม สิ่งสำคัญที่ผู้ว่ากทม.คนใหม่ควรเร่งทำเป็นลำดับต้นๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนเมือง คือ 1.สร้างงานอาชีพให้ประชากร โดยประสานความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ และภูมิภาค 2.สร้างสิ่งแวดล้อม เช่น สวนสาธารณะ ที่พักผ่อน 3.ปรับความคล่องตัวบนถนน เน้นความปลอดภัย ลดปริมาณการใช้รถส่วนตัว 4.แก้ปัญหามลภาวะ เช่น ขยะ สิ่งปฏิกูล ไม่ใช่แค่กำหนดเวลาการเก็บ แต่ต้องหาวิธีลดขยะในครัวเรือนด้วย
“ผมว่าผู้ว่าฯ แต่ละคนมีจุดเด่นและนโยบายที่สามารถปฏิบัติได้ แต่การเน้นนโยบายด้านจราจรด้วยการสร้างรถไฟฟ้าเพิ่ม ถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้งบประมาณสูง อีกทั้งอาจไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง หากมองว่าปัญหาการจราจรคือ ปริมาณรถและความคล่องตัว ยังมีวิธีแก้อีกหลายวิธี ที่สำคัญคือ ลดปริมาณการใช้รถ ทำให้ประชาชนหันมาใช้รถสาธารณะจริงๆ ใช้จักรยาน และการเดินให้มากขึ้นน่าจะได้ผลดีกว่า”ดร.เจษฏ์ กล่าว
จะเห็นได้ว่าการจะให้คนเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ควรหันมาใส่ใจปัญหาสภาพแวดล้อม ปัญหามลพิษทางอากาศให้มากขึ้น หากผู้ว่าฯ คนไหนลดจำนวนรถที่วิ่งอยู่บนท้องถนนได้ ก็จะทำให้มลพิษลดน้อยลงตามไปด้วย
จากการเล็งเห็นปัญหาดังกล่าว กรุงเทพมหานครจึงได้จับมือกับ สสส. และเครือข่ายชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพคนกรุงเทพ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดกิจกรรมวันปลอดรถ Car free day 2008 ขึ้นในวันที่ 21 ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง เพื่อรณรงค์งดใช้รถ ซึ่งคาดมีผู้เข้าร่วมกว่า 3 พันคน ภายในงานจะมีการเดินและปั่นจักรยานเชิญชวน ซึ่งจะมีจุดนัดหมายรวมพลทั้งหมด 6 เส้นทางการรณรงค์ ได้แก่ สยามพารากอน ดิเอ็มโพเรียม ตึกช้าง สวนรถไฟ สวนลุมพินีและเดอะมอลล์บางกะปิ นอกจากนี้ยังการแปรขบวนจักรยานเป็นรูปแผนที่ประเทศไทย และยังมีกิจกรรมพร้อมๆ กันในอีก 40 จังหวัดด้วย
การหันมาใช้รถจักรยานแทนการใช้รถยนต์ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว ทั้งประหยัดน้ำมัน ประหยัดค่าใช้จ่าย แถมยังเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่งอีกด้วยและสิ่งสำคัญยังช่วยลดปริมาณมลพิษในบ้านเมืองเราได้อีกด้วย
……เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเองหันมาใช้รถจักรยานแทนรถยนต์กันดีกว่า
ที่มา: ณัฐภัทร ตุ้มภู่ Team Content www.thaihealth.or.th
Update: 17-09-51