โซเชียลมีเดียสื่อยุคดิจิทัล ประโยชน์มีมากแต่โทษก็ไม่น้อย
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
แฟ้มภาพ
โซเชียลมีเดียได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนในปัจจุบันไปแล้ว เพราะช่วยสร้างความสะดวกสบายในด้านต่างๆ มากมาย เป็นโลกที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกัน อย่างไรก็ตามหากใช้ชีวิตที่ติดโซเชียลมากเกินไป ก็อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตได้
"โซเชียลมีเดีย (Social Media)"หรือสื่อสังคมออนไลน์ เป็นสื่อใหม่ที่ทำให้ สังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิม ที่ข้อมูลข่าวสารมักถูกเผยแพร่ผ่านองค์กร ที่ประกอบกิจการสื่อมวลชน (Mass Media) แต่ปัจจุบันองค์กรต่างๆ ไม่ว่าภาครัฐหรือเอกชน ไปจนถึงบุคคลทั้งที่มีชื่อเสียงและคนทั่วไปสามารถสื่อสารกันเองได้โดยตรง โซเชียลมีเดียถูกนำไปใช้งานอย่างหลากหลายทั้งการสื่อสาร การซื้อ-ขายสินค้าและบริการ ไปจนถึงการเรียนการสอนทางออนไลน์
"หากย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วจะเป็นของยุคอุตสาหกรรม สื่อที่มีอิทธิพลมากที่สุด คือโทรทัศน์ ดังนั้นทุกบ้านจะต้องมีมากกว่า 1 เครื่อง ซึ่งเห็นได้จากทุกคนรีบกลับบ้านเพื่อดูละครตอนจบ หลังจาก Social Media ได้เข้ามามีบทบาทต่อสังคมโลก เป็นอย่างมาก โดยตอนที่อยู่ในยุคของ Mass Media จะได้ยินคำว่าสังคม เกิดขึ้น เพราะเป็นการรวมกลุ่มก้อนของ ประชาชนทำให้เกิดสังคม แต่ในปัจจุบันความเป็นสังคมหายไปและมีความเป็นปัจเจกบุคคลมากขึ้น ซึ่งการสื่อสารเริ่มจะมีความเฉพาะมากขึ้น จึงทำให้การขับเคลื่อนของเด็กรุ่นใหม่ล้วนแต่เรียกร้องให้ตัวเองเป็นหลัก มากกว่าที่จะเรียกร้องภายใต้ขององค์กรหรือสังคม"
ผศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม หัวหน้ากลุ่มสาขาวิชาวิทยุและโทรทัศน์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าว ในวงเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ "Social Media ปัจจัยที่ 5 หรือดาบสองคม"จัดโดยเฟซบุ๊คแฟนเพจ "Net PAMA : เน็ต ป๊าม้า" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ตั้งข้อสังเกตถึงอิทธิพลของสื่อใหม่ที่ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไป
ผศ.ดร.วิไลวรรณ กล่าวต่อไป ว่า "เมื่อคนอยู่ใน Social Media จำนวนมากจะทำให้ความเป็นสังคมหายไป และคนจะอยู่กับตัวเองมากขึ้น จึงทำให้ทักษะชีวิตขาดหายไป ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญต่อการใช้ชีวิต ในสังคม" โดยเฉพาะยิ่งจะเห็นได้ชัด ในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่ทั้งไทยและต่างประเทศมีอัตราการ ฆ่าตัวตายและภาวะซึมเศร้าสูงขึ้น สะท้อน ให้เห็นว่าการรักษาระยะห่างยิ่งทำให้คนอยู่ห่างจากสังคมมากขึ้น และ Social Media ที่ทำให้คนห่างจากสังคมอยู่แล้วก็ยิ่งทำให้ห่างจากสังคมหนักเพิ่มขึ้นไปอีก
"ผู้ปกครองจะต้องเปลี่ยนความคิดในการออกคำสั่งกับลูก แต่จะต้องเรียนรู้ไปกับลูกด้วย ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างลูกและผู้ปกครองแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แต่เมื่อ Social Media เป็นโลกที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกัน ไม่ว่าอย่างไรเด็กย่อมมีโอกาสที่จะถูกกลั่นแกล้ง และผู้ปกครองไม่สามารถ ตามไปปกป้องลูกจากการถูกกลั่นแกล้ง ในโลกออนไลน์ จึงต้องเตรียมความพร้อม ให้ลูก สอนให้เข้าใจว่ามีโอกาสเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ ให้ลูกแก้ปัญหาอย่างมีสติ และรวบรวมหลักฐาน นอกจากนี้สิ่งสำคัญในการปลูกฝังคือให้เด็กรู้จักสิทธิของตนเอง เพื่อให้ลูกใช้สิทธิของตนเองได้อย่างไม่รุกล้ำ ผู้อื่น ขณะเดียวกันก็สามารถปกป้องสิทธิ ของตนเองได้" ผศ.ดร.วิไลวรรณ กล่าวด้านนพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัจจุบันรูปแบบสื่อเปลี่ยนไปมาก และสื่อมีการพัฒนาตลอด จากแบบ 1 คนต่อ 1 คน จนมาสู่ปัจจุบันที่เป็นแบบหลายๆ คนเชื่อมโยงใยไปหลายๆ คน และอนาคตจะพัฒนาต่อไปอีก จึงทำให้ปัจจุบันเรื่องราวและคำศัพท์เฉพาะต่างๆ มีมากขึ้น เช่น คำว่า "โฟโม (FOMO)" ย่อมาจาก "Fear Of Missing Out" หมายถึง ภาวะ "กลัว ตกข่าว" หรือกลัวการตกกระแสสังคม ซึ่งในอดีตคนสามารถทนรอข่าวสารได้ แต่คนในปัจจุบันไม่สามารถทนรอได้
และคำว่า "Phubbing" ที่หมายถึง "สังคมก้มหน้า" โดยที่ไม่สนใจผู้อื่น ซึ่งในอดีตไม่มีให้เห็นเนื่องจากเทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้า แต่พอมีโซเชียลมีเดียเข้ามาทำให้คนติดหน้าจอมากยิ่งขึ้น จึงทำให้ ลดทอนความสำคัญของผู้คนที่อยู่ตรงหน้า และให้ความสนใจผู้คนที่อยู่ในโซเชียลมีเดีย มากขึ้น จึงทำให้เห็นว่าโซเชียลมีเดีย มีผลกระทบต่อพฤติกรรมของคน ในสังคมอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจะเห็นได้ว่า คนเจเนอเรชั่นใหม่ๆ มีการยึดติดในเรื่องความมั่นใจในตัวเอง ความภาคภูมิใจในตัวเอง และการยอมรับจากสังคมผ่านทางโซเชียลมีเดีย
"เรื่องของการสื่อสารของคน เจเนอเรชั่นใหม่ๆ จะไม่เหมือนในเจเนอเรชั่น เก่าๆ เนื่องจากคนในอดีตยังไม่รู้จัก โซเชียลมีเดีย จึงมองว่าโซเชียลมีเดีย เป็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่ง และเป็นแค่ส่วนต่อขยายของการสื่อสาร แต่คนรุ่นใหม่มองว่าเป็นช่องทางสื่อสารหลักของชีวิตรูปแบบหนึ่ง ที่ไม่ใช่ส่วนต่อขยายและของเล่นแบบคนรุ่นเก่า จึงทำให้ผู้ปกครองกับลูกหลานมีการ ถกเถียงกันในเรื่องของวิธีการใช้งาน โซเชียลมีเดีย" นพ.วรตม์ ระบุโฆษกกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อไปถึงงานวิจัยที่พบว่า "เมื่อคนอยู่ในโซเชียลมีเดียมากขึ้น เป็นการเปิด ช่องทางให้รับรู้เรื่องราวเชิงลบมากขึ้น และอารมณ์เชิงลบในโซเชียลมีเดีย สามารถติดต่อกันได้ จึงทำให้เกิดปัญหา สุขภาพจิตมากขึ้น" นอกจากนี้ยังส่งผลทางอ้อมด้วย เช่น ความอิจฉากัน พักผ่อน ได้น้อยลง ลูกทะเลาะกับผู้ปกครอง และผู้ปกครองไม่มีเวลาดูแลลูก "แต่อีก ด้านหนึ่ง..หากใช้ในทางที่ถูกจะเป็นประตู สู่โอกาสใหม่ในการหาความรู้ต่างๆ"ทำให้เป็นคนที่รอบรู้ในสังคม
"ผู้ปกครองต้องค่อยๆ สอนและเรียนรู้พร้อมกับลูก โดยการนำเอาตัวอย่างข่าวบนโลกออนไลน์แล้วมาพุดคุยกัน นอกจากนี้ปัญหา Cyberbullying (การรังแกหรือระรานทางออนไลน์) ยังเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเด็ก ผู้ปกครองจึงต้องให้ลูกรับรู้ก่อนว่าโซเชียลมีเดียที่กำลังใช้มีความเสี่ยงที่จะกลั่นแกล้งกันได้" นพ.วรตม์ กล่าว