7 วิธีกระตุ้นภูมิคุ้มกันห่างไกลหวัด
ภูมิคุ้มกันโรค เป็นระบบที่คุณมีอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว และคุณสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโรคให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยป้องกันคุณจากโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009, เชื้อไวรัส, เชื้อแบคทีเรีย และโรคติดเชื้อต่างๆ เกือบทุกชนิด
ภูมิคุ้มกันโรคทำงานอย่างไร?
นพ.วิชัย เดชะทัตตานนท์ ผู้อำนวยการด้านสร้างเสริมสุขภาพ ประกันสังคม โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 กล่าวว่า ภูมิคุ้มกันโรค (Immunity) คือ ระบบภูมิคุ้มกันโรคในร่างกาย คือ เซลล์นับล้านล้านตัวจะทำหน้าที่ทำลาย และกำจัดอนุมูลอิสระ เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส สารพิษ allergen and debris พบว่า 30 – 60 นาที หลังจากที่สิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย เม็ดเลือดขาวจำพวก Neutrophilic granulocyte จะเป็นพวกแรกที่มาถึงบริเวณนี้ โดยการลอดตัวผ่านผนังหลอดเลือดออกมาในเนื้อเยื่อ เพื่อจะมากินและทำลายสิ่งแปลกปลอมนั้น
ประมาณ 4 – 5 ชั่วโมงหลังจากนั้น เซลล์อีกพวกหนึ่งคือ mono nuclear cells ซึ่งได้แก่ lymphocyte และ monocyte จึงจะผ่านผนังเส้นเลือดออกมา แล้ว monocyte จะเปลี่ยนเป็น macrophage ซึ่งกันและทำลายสิ่งแปลกปลอมได้โดยตรง ส่วนเม็ดเลือดขาว lymphocyte จะมาทำหน้าที่สร้างภูมิต้านทาน antibody (Specific Immune Response)
วิธีกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ซึ่งฤทธิ์นี้จะอยู่หลังจากการออกกำลังกายประมาณ 2 ชั่วโมง และถ้าออกกำลังกายเป็นประจำพบว่า ระยะเวลาของฤทธิ์ยาวนานขึ้น โดยเลือกเล่นกีฬา เช่น ว่ายน้ำ เดินเร็ว ขี่จักรยาน ฯลฯ หรือการออกกำลังกายประเภทไหนก็ได้ที่ทำให้อัตราการเต้นของชีพจร มีค่าเท่ากับ 64 – 74% โดยใช้สูตรคำณวน 220 – อายุ x 64% สำหรับคนอายุ 40 ปี = (220 – อายุ) x 64% = 115 ครั้ง/นาที และไม่เกิน (220 – อายุ) x 74% = 133 ครั้ง/นาที
เพื่อให้ผลดีที่สุด ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 5 วันใน 1 อาทิตย์ ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป การออกกำลังกายมีผลทำให้โอกาสป็นโรคหวัดน้อยลง และยังพบว่าทำให้ระยะเวลาเจ็บป่วยสั้นลงด้วย แต่ไม่ควรออกกำลังกายนานเกิน 90 นาที/1 ครั้ง เพราะอาจทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งจะไปกดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
2. นอนหลับให้เพียงพอ และควรปิดไฟทุกดวงขณะนอนหลับ ควรนอนหลับอย่างน้อยวันละ 6 – 9 ชั่วโมง การนอนหลับทำให้ร่างกายได้ผ่อนคลายความเครียด และความกังวลทำให้ร่างกายหลั่งสารอะดรีนาลีน (Adrenalin) เมื่อมีสารอะดรีนาลีนปริมาณมากทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายลดลง และขณะหลับร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้ การนอนไม่เพียงพอ หรือการนอนในห้องที่มีไฟ หรือแสงสว่างทำให้รบกวนกระบวนการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินได้
3. รับประทานอาหารสดที่ไม่ผ่านกระบวนการปรุงแต่ง เช่น ถั่ว ผัก และผลไม้ ซึ่งมีวิตามิน และเกลือแร่ต่างๆ อยู่มากมาย เช่น วิตามินเอ บี ซี และสังกะสี ซีลีเนียม ธาตุเหล็ก ฯลฯ ซึ่งช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และวิตามินบีที่อยู่ในเมล็ดถั่ว ยังช่วยบำรุงระบบประสาทให้แข็งแรง อาหารกระป๋องต่างๆ จะถูกปรุงแต่งมาแล้ว ซึ่งจะไม่มีวิตามินตามธรรมชาติหลงเหลืออยู่ และมักปนเปื้อนด้วยสารเคมี และสารกันบูด (preservation agents) การรับประทานอาหารเหล่านี้ ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อกำจัดสารเคมีเหล่านี้ออก
4. หายใจเข้าลึกๆ ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ทุกวัน เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเป็นอาหาร ถ้าเราขาดออกซิเจนเพียงไม่กี่นาทีเซลล์ก็จะตายได้ จึงควรออกกำลังกายตอนเช้าในสวนสาธารณะ หรือพยายามปลูกต้นไม้รอบๆ บ้าน หรือหาต้นไม้ที่คายออกซิเจนในเวลากลางคืนมาปลูกในห้องนอน
5. ควรให้ร่างกายได้โดนแสงแดดยามเช้าทุกวัน เวลาที่เหมาะสมที่จะโดนแดดคือช่วงเวลา 06.30 – 09.00 น. ร่างกายต้องการรังสีจากแสงอาทิตย์ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกระบวนการทำงานของระบบสารเคมีสารเคมีในร่างกายที่จะส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และสร้างวิตามินดี-ที่ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง ซึ่งจะทำให้ทำให้ร่างกายแข็งแรงโดยรวม ควรให้ร่างกายถูกแดดวันละ 30 นาทีในช่วงเวลาดังกล่าว
6. ดื่มน้ำกรองสะอาดวันละ 6 – 8 แก้ว (1,500 – 2,000 CC) ไม่ควรดื่มน้ำที่ปนเปื้อน และสารที่มักปนเปื้อนมากับน้ำคลอรีน ซึ่งเครื่องกรองน้ำจะช่วยกรองสิ่งปนเปื้อนต่างๆ ที่อยู่ในน้ำได้
7. พยายามทำให้อารมณ์แจ่มใสอยู่เสมอ อย่าเครียด อารมณ์ และจิตใจ ส่งผลโดยตรงต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ถ้าคิดว่าจะหายป่วยให้ได้ ระบบภูมิคุ้มกันจะทำงานได้ดีขึ้น แต่ถ้าเครียดก็จะทำให้ระบบทำงานได้น้อยลงกว่าปกติ
เพียงแค่นี้คุณก็จะสามารถลดความเสี่ยงในการติดโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้ด้วยตัวเอง
ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
Update 26-08-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก
อ่านเนื้อหาทั้งหมดในคอลัมน์คลิกที่นี่