6 แนวปฏิบัติเตรียมพร้อมเปิดเรียนปลอดภัย
ที่มา : ไทยโพสต์
แฟ้มภาพ
แนะ 6 แนวปฏิบัติเตรียมพร้อมเปิดเรียนปลอดภัย สธ.-ศธ. จับมือร่วมกันทำไกด์ไลน์ให้รร. เผยสถิติเด็กติดเชื้อส่วนใหญ่อาการน้อยหรือไม่แสดงอาการ
จัดเตรียมแนวทางเปิดเรียนปลอดภัย กำหนด 6 แนวทาง ตรวจวัดไข้ก่อนเข้า รร. สวมหน้ากากตลอดเวลา จัดจุดล้างมือ เว้นระยะห่าง ทำความสะอาดจุดสัมผัส พร้อมออกเป็นคู่มือไกด์ไลน์ให้โรงเรียนนำไปปฏิบัติ เผยกลุ่มเด็กที่ติดเชื้อโควิดส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรงหรือไม่แสดงอาการ รวมทั้งอยู่ร่วมกันนาน 5 ชั่วโมงมากกว่าการเดินห้าง ทำให้น่าเป็นห่วงการแพร่ระบาดติดเชื้อ
ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย แถลงว่า สธ.ได้บูรณาการการทำงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพื่อเตรียมการล่วงหน้าสำหรับการเปิดภาคเรียนในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 โดยสถิติการระบาดในประเทศไทยพบว่า กลุ่มเด็ก 10-19 ปี มีอัตราการติดเชื้อร้อยละ 3.81 ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรงหรือไม่แสดงอาการ เมื่อมาโรงเรียนใช้เวลาอยู่ใกล้ชิดร่วมกัน 5-7 ชั่วโมงต่อวัน นานกว่าการเดินในห้างสรรพสินค้า จึงมีความเสี่ยงติดเชื้อในกลุ่มเพื่อน และเมื่อเด็กกลับบ้านจะอยู่ใกล้ชิดและแพร่เชื้อไปสู่คนในครอบครัวได้
อย่างไรก็ตาม การเปิดภาคเรียน โรงเรียนจะต้องเตรียมการล่วงหน้าเพื่อให้พร้อมเปิดเรียนอย่างปลอดภัย โดย สธ.ร่วมกับ ศธ. และภาคีเครือข่าย จัดทำมาตรการและคู่มือการปฏิบัติสำหรับสถานศึกษาป้องกันโควิด-19 ให้เสร็จภายในเดือนพฤษภาคมนี้ และชี้แจงแนวทางปฏิบัติกับบุคลากรสาธารณสุข จัดอบรมครู "รอบรู้สุขอนามัย" ในโรงเรียนรองรับสถานการณ์โควิด-19 กลางเดือนมิถุนายน 63 ให้โรงเรียนประเมินตนเองตามแพลตฟอร์มไทยสต็อปโควิด (https://stopcovid.anamai.moph.go.th)
พญ.พรรณพิมลกล่าวต่อ ว่า เมื่อเปิดภาคเรียน โรงเรียนจะต้องดำเนินการ 6 แนวทาง ประกอบด้วย 1.การมีมาตรการ คัดกรอง เช่น วัดไข้ก่อนเข้าโรงเรียน ผู้ปกครองร่วมให้ประวัติ หากมีความเสี่ยง หากเด็กมีอาการไข้ไม่สบายต้องหยุดเรียน ทันที และแจ้งหน่วยงานสาธารณ สุขในพื้นที่ 2.สวมหน้ากากอนามัย ตลอดเวลาเมื่ออยู่ในโรงเรียน 3.จัดจุดล้างมือด้วยสบู่หรือแอล กอฮอล์เจลอย่างเพียงพอ 4.การ เว้นระยะห่างในห้องเรียน เน้นจัดการเรียนการสอนให้เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน ให้มีกิจกรรมทำในกลุ่มเดียวกันตลอดทั้งวัน 5.เน้น การทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสต่างๆ ที่ใช้ร่วมกัน อาทิ สนามเด็กเล่น ลูกบิดประตู ห้องน้ำ ร่วมกับการจัดกลุ่มสลับกันใช้งานเพื่อช่วยลดการสัมผัสร่วมกันจำนวนมาก และ 6.ลดความแออัด ไม่จัดกิจกรรมที่เกิดการรวมกลุ่มของเด็ก
"การเปิดเรียนจะต้องขอความร่วมมือผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมกับโรงเรียนในการป้องกันโรค ต้องสื่อสารให้เข้าใจว่า อย่ากังวลใจมาก เพราะได้มีการเตรียมมาตรการเพื่อความปลอดภัยของเด็ก ย้ำเรื่องการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ และโรงเรียนต้องประเมินความเสี่ยงเพื่อปรับให้เข้ากับสถานการณ์ ทำงานร่วมกับหน่วยงานอนามัยโรงเรียนของกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิดเพื่อการควบคุมโรค" อธิบดีกรมอนามัยกล่าว.