5 มาตรการ `ยุติโรคเอดส์`

          สาธารณสุขใช้ 5 มาตรการ 'ยุติโรคเอดส์'


/data/content/26886/cms/e_dgikopruwx68.jpg


          ศาสตราจารย์ นายแพทย์รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุข เปิดงานสัมมนาระดับชาติเรื่องโรคเอดส์ ครั้งที่ 14 และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ครั้งที่ 1 พร้อมปาฐกถา พิเศษ : ยุติปัญหาเอดส์ในประเทศไทยภายในปี พ.ศ. 2573 กล่าวว่า สถานการณ์โรคเอชไอวีของไทยจากการประเมินคาดว่าในปี 2557 นี้ สถานการณ์ภาพรวมดีขึ้น มีผู้ติดเชื้อเดิมและยังมีชีวิตทั้งหมด 446,154 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี 7,525 คน ที่เหลือเป็นผู้ใหญ่ ชี้ให้เห็นสัญญาณโรคว่าอัตราการเพิ่มได้ลดลงแล้ว โดยคณะกรรมการเอดส์แห่งชาติได้ตั้งเป้าจะยุติปัญหาการแพร่ระบาดโรคเอดส์ภายในปี 2573 หรือในอีก 16 ปี คือจะไม่มีเด็กที่คลอดมาแล้วติดเชื้อเอชไอวี มีผู้ใหญ่ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ไม่เกินปีละ 1,000 คน ผู้ติดเชื้อทุกคนสามารถเข้าถึงระบบบริการดูแลรักษาด้วยยาต้านไวรัส ไม่มีการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ สอดคล้องกับมติขององค์การสหประชาชาติ


          ทั้งนี้ยังได้มีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อยุติปัญหาเอดส์ 5 มาตรการสำคัญ ได้แก่ 1.ขยายความครอบคลุมการ ดำเนินงานป้องกันโรค โดยเชื่อมโยงผสมผสานงานเชิงรุก คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม บริการให้การปรึกษาและ ตรวจการติดเชื้อเอชไอวีกลุ่มที่มีความเสี่ยง เช่น กลุ่มชายรักร่วมเพศ ครอบคลุมร้อยละ 90 2.รักษาผู้ติดเชื้อทุกคนด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี โดยไม่คำนึงถึงระดับเม็ดเลือดขาวซีดีโฟว์(CD4) รวมถึงการตรวจวินิจฉัยทารกที่คลอดจากแม่ติดเชื้อภายในอายุ 2 เดือน เพื่อเริ่มรักษาด้วย ยาต้านไวรัสทุกรายโดยเร็วที่สุด ซึ่งการให้ยาต้านไวรัสแต่เนิ่นๆ นอกจากเป็นการรักษาแล้ว ยังมีผลในการป้องกันโรคด้วย 3.สนับสนุนให้ผู้ติดเชื้อฯ กินยาสม่ำเสมอตลอดชีวิตและคงอยู่ในระบบบริการต่อเนื่อง มากกว่า ร้อยละ 90 4.พัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบ บริการสุขภาพ ระบบชุมชน โดยผสมผสานบูรณาการระหว่างงานการป้องกันและรักษา ใช้หลักแนวคิด เข้าถึง ตรวจ รักษา คงอยู่ โดยให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ทั้งหมด เข้าถึงระบบบริการ และ5.รณรงค์สร้างความเข้าใจ ประชาชน ให้เรื่องเอชไอวีและการตรวจหาเชื้อเอชไอวี เป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนควรรู้สถานะการติดเชื้อ และตรวจเป็นประจำ หรือเมื่อมีพฤติกรรมที่ไม่ป้องกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมป้องกันโรคสูงยิ่งขึ้น


 


 


          ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า


          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

Shares:
QR Code :
QR Code