4 สัญญาณเตือน ต้องคุยเรื่องเพศกับลูก
เรื่องโดย : เสาวลักษณ์ พิสิษฐ์ไพบูลย์ team content www.thaihealth.or.th
ขอบคุณข้อมูลจาก : คู่มือ โอกาสทองคุยกับลูก 'เรื่องเพศ' www.คุยเรื่องเพศ.com โดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
เชื่อได้ว่า มีพ่อแม่หลายคนยังคงไม่ทราบว่า ควรจะเริ่มต้นสอนลูกในเรื่องเพศอย่างไรดี ? เพราะอาจมีความคิดว่าเป็นเรื่องต้องห้าม น่าอาย ไม่ควรพูดถึงมาก เกรงว่าจะเป็นการชี้โพรงให้กระรอก
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ลูกไม่สามารถเรียนรู้ หรือทำความเข้าใจในเรื่องเพศอย่างถูกต้องเองได้ หากพ่อแม่ไม่เป็นผู้สอน หรือให้ความรู้ความเข้าใจแก่ลูกในเรื่องนี้ สื่อต่างๆ ทั้งโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต เพื่อนของลูก ก็จะเป็นผู้สอนเขาแทนพ่อแม่ ซึ่งล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กมีความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องเพศมากยิ่งขึ้น
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ ในการที่จะให้พ่อแม่พูดคุยเรื่องเพศกับลูกหลานได้อย่างมีความรู้ความเข้าใจที่ดีพอ โดยใช้โอกาสทองในการคุยกับลูก เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็กเยาวชน จึงได้จัดทำ คู่มือ “โอกาสทองคุยกับลูกเรื่องเพศ” โดยมี พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้และให้ข้อมูลว่า
"การที่พ่อแม่คุยเรื่องเพศกับลูกเร็วเท่าไหร่ ลูกก็จะยิ่งมีข้อมูล และทักษะดูแลตัวเองได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น ขอเพียงผู้ใหญ่เปิดใจยอมรับตรงกันว่า เรื่องเพศไม่ได้หมายถึงการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่คือข้อเท็จจริงด้านร่างกายและจิตใจที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกตามธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งจำเป็นต้องให้เด็กที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่เรียนรู้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่เรียนรู้เอง หรือเพื่อนที่รู้มาผิดๆ การเตรียมให้เขามีวุฒิภาวะ มีทักษะในการดูแลตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนตั้งแต่เด็ก เหมือนการต้องสอนวิธีข้ามถนนอย่างไรให้ปลอดภัย กินอะไรถึงจะมีประโยชน์ ซึ่งเรื่องเพศ และการใช้ชีวิตทางเพศให้ปลอดภัยก็ต้องสอนเช่นกัน" พญ.จิราภรณ์ ได้อธิบายไว้
วันนี้ทีมเว็บไซต์ สสส. จึงมาแนะนำ 5 พฤติกรรมของลูก ที่อาจเป็นสัญญาณเตือนที่บอกพ่อแม่ว่า ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะต้องคุยเรื่องเพศกับลูก และควรจะสื่อสารกับลูกอย่างไร มีดังต่อไปนี้ค่ะ
1.เมื่อลูกเริ่มมีแฟน หากพ่อแม่ไม่อยากให้ลูกโกหกหรือปิดบังเรื่องการคบแฟน อย่าแสดงออกว่าไม่สนับสนุนให้ลูกมีแฟนเด็ดขาด เพราะเมื่อไหร่ที่เขามีแฟน เขาจะไม่บอกและแอบคบกัน จนบางครั้งความสัมพันธ์อาจลึกซึ้ง โดยที่เราไม่มีโอกาสให้คำแนะนำทั้งเรื่องความสัมพันธ์และการป้องกันตัวเอง ทั้งนี้ อย่าห้ามลูกมีแฟน ด้วยเหตุผลที่ว่า มีแฟนแล้วจะเสียการเรียน เพราะเด็กจะรู้สึกต่อต้านทันที และ อย่าจับผิด หากสงสัยลูกมีแฟน ควรถามตรงๆ ด้วยคำถามทีเล่นทีจริง เช่น หนูสดใสเป็นพิเศษกำลังมีความรักอยู่หรือเปล่า เล่าให้พ่อแม่ฟังได้นะ หล่อเท่าพ่อหรือเปล่าแม่ขอดูรูปหน่อย และ ไม่ควรกีดกันการคบเพื่อนต่างเพศ แต่ควรกำหนดขอบเขตให้เหมาะสม เช่น ต้องพามาให้รู้จัก ถ้าจะไปเที่ยวกับแฟนต้องกลับไม่เกินกี่โมง และให้รับโทรศัพท์หรือโทรกลับถ้าพ่อแม่โทรไป
2.เมื่อลูกสาวแต่งตัวโป๊ เมื่อลูกโตเป็นสาว แต่งตัวตามแฟชั่น เสื้อสายเดี่ยวเอวลอยกางเกงขาสั้น เด็กๆมองว่าสวย แต่พ่อแม่มองว่าโป๊ เป็นห่วงว่าจะเป็นที่ล่อตาล่อใจเพศตรงข้าม และอาจเป็นอันตรายได้ เด็กวัยนี้ต้องการสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง การแต่งตัวตามแฟชั่นแบบที่ตัวเองชอบ ก็เป็นส่วนหนึ่งของความมั่นใจ ไม่ควรต่อว่าลูกว่าเป็นเด็กใจแตก เพราะแต่งตัวโป๊ เราต้องคุยกันในมุมที่ว่าผู้หญิงกับผู้ชายนั้นคิดต่างกันในเรื่องการแต่งตัวโชว์สัดส่วน ผู้หญิงจะมองว่าสวยและทันสมัย แต่ผู้ชายจะมองแล้วคิดเลยเถิดไปถึงเรื่องทางเพศ ผู้หญิงที่แต่งตัวเผยสัดส่วน จะตกเป็นเป้าสายตาของผู้ชาย ที่อาจคิดมิดีมิร้ายมากกว่าผู้หญิงที่แต่งตัวมิดชิด
3.เมื่อลูกรักเพศเดียวกัน หากพบว่าลูกชาย ลูกสาว นั้นมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ แน่นอนว่าพ่อแม่หลายๆ คนคงรับไม่ได้ ฉะนั้นพ่อแม่ควรเปิดใจ และยอมรับว่าการรักเพศเดียวกันนั้นไม่ใช่เรื่องผิด อย่ามัวแต่กังวลว่าจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงลูกได้อย่างไร หรือลงโทษด้วยวิธีต่างๆ หรือแม้กระทั่งโทษตัวเองว่าเลี้ยงลูกไม่ดี เพราะเป็นการสร้างแรงกดดันให้กับลูก พ่อและแม่อาจรู้สึกไม่ดี แต่ก็ไม่ควรเอาความรู้สึกด้านลบกับคนรักเพศเดียวกัน มาสร้างความเจ็บปวดให้กับลูก หากลูกยังไม่มั่นใจว่ารักเพศเดียวกันหรือเปล่า
ควรเปิดโอกาสให้ลูกพิจารณาทางเลือกในชีวิต ด้วยการคุยถึงความรู้สึกที่ลูกมีต่อเพศเดียวกันและเพศตรงข้าม และดูแลให้คำแนะนำเกี่ยวกับการวางตัวให้เหมาะสมในสังคม อย่าดูถูกตัวเอง ส่งเสริมให้เขาค้นพบสิ่งดีๆ ในตัวเองแทนที่จะมองว่าตัวเองมีปัญหาหรือผิดปกติ
4.เมื่อลูกมีเพศสัมพันธ์ ถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอย่านิ่งนอนใจ หรือปล่อยผ่านไปเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น เพียงเพราะอายที่จะคุยเรื่องนี้ ก่อนที่จะคุยกับลูกเราควรจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองให้ได้ก่อน อย่างแรกเลย คือระงับความโกรธ อย่าต่อว่าด้วยคำรุนแรง สิ่งแรกที่ต้องห่วงมากกว่าการต่อว่าหรือดุด่า คือ ความปลอดภัยของการมีเพศสัมพันธ์ จากนั้นใช้โอกาสนี้คุยถึงการคบแฟน การยับยั้งชั่งใจ การหาทางออกหากมีอารมณ์ทางเพศเกิดขึ้นว่า ไม่จำเป็นต้องจบด้วยการมีเพศสัมพันธ์เสมอไป และสอนให้รู้จักการป้องกันอย่างถูกต้อง เพื่อการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยจากโรคติดต่อ และลดอัตราเสี่ยงการตั้งครรภ์
ข้อมูลที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่ง หัวใจสำคัญคือความสัมพันธ์ในครอบครัว พ่อแม่ลองเปิดใจให้กว้าง ฟังด้วยใจอย่างมีสติ เชื่อแน่นอนว่าต่อไปลูกจะเปิดใจยอมพูดคุยปรึกษาปัญหาต่างๆ กับพ่อแม่ได้อย่างไม่เคอะเขิน เราจะสามารถช่วยลูกยับยั้งปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดกับเขาได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน