365 วันอันตราย : ภารกิจ (ไม่) ลับ หยุดเด็กไทยเสี่ยงเจ็บ-ตายบนท้องถนน

ข้อมูลจาก : กิจกรรม “365 วันอันตราย : หยุดเด็กตายบนถนน” และแถลงข่าวผลการขับเคลื่อนพื้นที่ต้นแบบความปลอดภัยทางถนนในเด็กและเยาวชน
ภาพโดย พงศ์ศุลี จีระวัฒนรักษ์ Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ
                    ทุกวันนี้ ถนนอาจไม่ใช่แค่ทางสัญจร แต่เป็นพื้นที่เสี่ยงอันตราย โดยเฉพาะกับเด็กและเยาวชน สถิติในปี 2567 ระบุว่า รถจักรยานยนต์ คือยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด คิดเป็น 80% ของทั้งหมด และช่วงวัย 15-19 ปี คือกลุ่มที่เสี่ยงชีวิตมากที่สุด
                    ทำไมปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนในไทยถึงน่าห่วง ข้อมูลจาก 3 ฐาน พบว่าอัตราการเสียชีวิตยังสูง เฉลี่ยวันละ 48 คน ไทยถูกจัดอันดับว่ามีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงเป็นอันดับ 1 ในเอเชียและอาเซียน หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ คาดว่าไทยอาจสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ไปอีกกว่า 37,321 คน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างมหาศาล
                    “วัยรุ่น” กับ “มอเตอร์ไซค์” กลายเป็นภาพจำที่คุ้นชินในสังคมไทย ในขณะที่หลายคนอาจมองเลยผ่านไปเพราะไม่ใช่เรื่องใกล้ตัวเรา หากแต่รู้หรือไม่ว่า เบื้องหลังภาพคุ้นชินเหล่านั้น กลับมีสถิติที่น่าตกใจซ่อนอยู่

                    จากตัวเลขการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทย เราพบว่าในทุกๆ ปี มีเด็กและเยาวชนต้องจบชีวิตลงบนท้องถนนจำนวนไม่น้อย ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่แค่สิ่งที่จะมองข้าม เพราะคือตัวเลขของชีวิตลูกหลานเราที่ต้องดับวูบไปก่อนวัยอันควร

                    เมื่อถนนกลายเป็นสนามรบของเด็กและเยาวชน

                    จากข้อมูลของระบบบูรณาการข้อมูลการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน หรือ ข้อมูล 3 ฐาน พบว่าในปี 2567 รถจักรยานยนต์ คือยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด คิดเป็น 80% ของยานพาหนะทั้งหมด โดยช่วงวัยที่มีอัตราการเสียชีวิตมากที่สุดอยู่ในช่วงวัย 15-19 ปี โดยมีสาเหตุปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความเร็ว การดื่มแล้วขับ สภาพแวดล้อม และแม้จะมีข่าวดีว่าตัวเลขอัตราการเสียชีวิตของเด็กจากอุบัติเหตุบนท้องถนนลดลงต่อเนื่อง 3 ปี แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์โดยรวมน่าไว้วางใจมากนัก

                    เพราะในปี 2568 ที่ผ่านมา ยังมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนถึง 4,564 ราย และในจำนวนนี้ 21% เป็นเด็กและเยาวชน ยิ่งเจาะลึกเฉพาะช่วงเทศกาลสำคัญอย่างปีใหม่และสงกรานต์ ตัวเลขก็ยังคงสูงอยู่ที่ 20% และ 19% ตามลำดับ

                    แล้วเราจะยังคงยอมปล่อยให้ลูกหลานของเราต้องเสี่ยงชีวิตบนท้องถนนต่อไปเช่นนี้อีกถึงเมื่อไหร่

                    เชื่อว่าคำถามนี้อาจผุดขึ้นในใจใครหลายคน และคำถามดังกล่าวยังนำมาสู่การจัดกิจกรรม “365 วันอันตราย : หยุดเด็กตายบนถนน” และแถลงข่าวผลการขับเคลื่อนพื้นที่ต้นแบบความปลอดภัยทางถนนในเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (ยท.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภายใต้โครงการพัฒนาความร่วมมือจังหวัดต้นแบบด้านความปลอดภัยทางถนนสำหรับเด็กและเยาวชน เพื่อขับเคลื่อนการลดอุบัติเหตุในสถานศึกษา เพื่อหาทิศทางการขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนนสำหรับเด็กและเยาวชนในอีก 1 ปีข้างหน้า โดยโครงการนี้มีพื้นที่นำร่อง ได้แก่ จ.ระยอง จ.ขอนแก่น จ.ชลบุรี (พัทยา)

                    อีกหนึ่งในกิจกรรมเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน มีเสียงสะท้อนการขับเคลื่อนจากเวที เสวนาทิศทางขับเคลื่อนงาน 1 ปีข้างหน้ากับ “365 วันอันตราย : หยุดเด็กตายบนถนน”

                    365 วันอันตราย ลดได้ด้วย “พัทยาโมเดล”

                    ในเวทีเสวนา หลายเสียงเห็นพ้องต้องกันว่า ปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในเด็กและเยาวชนมีความซับซ้อน และเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย สภาพถนน สภาพรถ และที่สำคัญคือ “พฤติกรรม” ของผู้ใช้รถใช้ถนน

                    เพื่อยกระดับต้นแบบการเรียนรู้ และศึกษาตามประเด็นเป้าหมายที่ว่า เราจะสร้างความปลอดภัยทางถนนให้จริงได้อย่างไร แนวทางการหาทิศทางการขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนนสำหรับเด็กและเยาวชนในอีก 1 ปีข้างหน้า ในโครงการนี้ จึงมีการชับเคลื่อนในโครงการนี้ จึงมีพื้นที่นำร่อง ได้แก่ จ.ระยอง จ.ขอนแก่น จ.ชลบุรี (พัทยา)

                    บุญงาม เล็กเจริญ ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สำนักการศึกษา เมืองพัทยา เผยถึงแผนการดำเนินการที่ผ่านมา เกี่ยวกับ “พัทยาโมเดล” ว่าพัทยา ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ต้นแบบว่า มีสามมาตรการ หนึ่ง คือการรณรงค์ป้องกันเกี่ยวกับคน สอง การบริหารจัดการถนน และสามการประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

                    ในด้านการรณรงค์ป้องกัน มีการตรวจสอบคุณภาพรถรับส่งนักเรียนให้มีความพร้อมอยู่เสมอ การมีตํารวจจราจร เจ้าหน้าที่คอยอํานวยความสะดวกทั้งก่อนเข้าเรียน และหลังเลิกเรียน โดยทํางานร่วมกับสภานักเรียนมีการสอดแทรกเรื่องการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยในชั่วโมงเรียนเพื่อให้เด็กรู้วิธีการที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้รถใช้ถนน รวมถึงการกวดขันในการจราจรอย่างเคร่งครัด มีการตรวจสอบคุณภาพรถบัสนักเรียน มีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวก หมวกกันน็อก มีการสอดแทรกเรื่องการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยในเนื้อหาการเรียน

                    ในด้านการบริหารจัดการถนน จัดทำพื้นที่ให้เหมาะสมกับการสัญจร อาทิ ทาสีตีเส้น ติดกล้องวงจรปิด มีศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์  มีการประสานงานขนส่งให้มาทำใบขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ให้กับนักเรียน รวมถึงมีการประสานงานศูนย์สรรพสินค้า โรงแรมให้คอยจัดการจราจรปลอดภัย และมีจุดบริการฉุกเฉิน และมีการประสานงานกัหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกับการทำงานร่วมกับมูลนิธิสว่างบริบูรณ์ เป็นต้น

                    “เราทำต่อเนื่องไม่เฉพาะช่วงเทศกาล ซึ่งสิ่งที่ดีใจคือปีนี้มีสถิติลดลง ซึ่งการดำเนินการลำดับต่อไป พัทยาจะคงแผนงานเดิมไว้แต่จะเพิ่มเติมในส่วนการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วยเป็นเครื่องมือมากขึ้น” บุญงาม กล่าว

                    เด็กตายบนท้องถนน ส่งผลถึงความมั่นคงชาติ

                    พชรพรรษ์ ประจวบลาภ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (ยท.) เผยถึงที่มาการนำร่องโครงการนี้ในพื้นที่พัทยาว่า เกิดจากการมองบริบทพื้นที่ เนื่องจากพัทยาเป็นเมืองที่โครงสร้างซับซ้อน และมีลักษณะใกล้เคียงกับกรุงเทพมหานคร ขณะเดียวกันยังเป็นเมืองการท่องเที่ยว และมีการปกครองพิเศษ  นอกจากนี้ ในแง่บริบทพื้นที่เอง พัทยาเป็นเมืองที่ถูกแบ่งพื้นที่สองฝั่งระหว่างชุมชนกับโรงเรียน ด้วยถนนสายหลัก ได้แก่ ถนนสุขุมวิท ซึ่งมีเลนขนาดใหญ่กั้นกลาง ที่มีการจราจรเนืองแน่นตลอดเวลา ทำให้เด็กที่จะเดินทางไปสถานศึกษาต้องฝ่าการจราจรจากอีกฝั่งบ้านเพื่อข้ามไปเรียนอีกฝั่ง เป็นผลให้เกิดอุบัติเหตุที่ผ่านมา

                    พชรพรรษ์ ยังเสริมต่อถึงอีกหนึ่งข้อเท็จจริงที่สังคมต้องยอมรับและให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้ว่าไม่ใช่มิติแค่เพียงเรื่องปัญหาอุบัติเหตุ หากปัญหานี้ดังกล่าวกำลังส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งในแง่การขาดแคลนประชากรวัยแรงงานสำคัญของชาติในระยะยาว และปัญหาด้านเศรษฐกิจ

                    “อย่างที่ทราบว่าในปัจจุบันด็กไทยมีอัตราการเกิดน้อย แล้วถ้าเรายิ่งปล่อยให้อัตราการเกิดอุบัติเหตุโดยไม่ได้ป้องกันเพิ่มขึ้น จนทำให้เยาวชนทยอยตายปีละ 3,300 คน อีกหน่อยก็จะไม่มีเด็กไปเรียน ซึ่งจำนวนเด็กที่เสียไปแต่ละปีเท่านั้น ซึ่งเท่ากับจำนวนนักเรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่หนึ่งแห่งหายไปเลยทีเดียว ดังนั้นแนวโน้ม โรงเรียนขนาดเล็กจะเพิ่มขึ้น ถ้ามองในแง่ competitive advantage แล้วเราอาจขาดความสามารถทางการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเช่นเวียดนาม ที่เมื่อก่อนเขามาดูงานเรา แต่ปัจจุบันเขามีมาตรการวินัยเรื่องการสวมหมวกการน็อค ขณะที่ไทยซึ่งแม้จะมองว่ามีมาตรการเข้มข้นแล้ว แต่คิดวาต้องเข้มข้นมากกว่านี้ เช่นเรื่องเมาแล้วขับ

                    เขายังตั้งคำถามที่น่าสนใจว่า “เราจะทำอย่างไรให้ผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นต้นแบบของสังคม กลับบ้านในสภาพที่ไม่เมาสุรา เพราะการที่เด็กเห็นพ่อแม่เมาแล้วขับ ก็เท่ากับเป็นการปลูกฝังพฤติกรรมที่ไม่ปลอดภัยไปโดยปริยาย”

                    เพราะทุกวันนี้เด็กเห็นผู้ปกครองเมาแล้วขับกลับมาบ้าน หรือไม่สวมหมวกกันน็อค เป็นตัวอย่าง ซึ่งการทำงานเรื่องนี้ มาตรการทางสังคมควรจะมีส่วนในการช่วยกันขับเคลื่อนเช่นกัน เพราะตอนนี้โรงเรียนเป็นจำเลยสังคมฝ่ายเดียว หรือแม้แต่ภาคเอกชน หรือทุกภาคส่วนก็ควรมีบทบาทด้วย

                    เติมพลังบวกจากอินฟลูเอนเซอร์สายแว๊น

                    พชรพรรษ์ กล่าวต่อถึงสิ่งที่ยุวทัศน์จะทำต่อไปคือการสื่อสารเชิงบวก ให้เกิดเป็นค่านิยมเรื่องการใช้หมวกกันน็อคเป็นเรื่องปกติ

                    หนึ่งประเด็นน่าสนใจคือการดึง “อินฟลูเอนเซอร์” เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหา  หลายคนอาจตั้งคำถามว่า “จะเอากลุ่มเด็กแว๊นมาช่วยรณรงค์ลดอุบัติเหตุหรือ”

                    เขาให้ข้อคิดเห็นว่า การทำงานรณรงค์เรื่องนี้ โจทย์ท้าทายในการสื่อสารกับเด็กยุคใหม่ คือการที่เข้าใจถึงพฤติกรรมเด็กปัจจุบัน ว่าเขามีจุดยืนเรื่องสิทธิเสรีภาพ หรือมีเสียง (voice) เป็นตัวของตัวเอง ถือเป็นอีกโจทย์ที่ท้าทายสำหรับการทำงานสื่อสารรณรงค์

                    โจทย์ที่น่าคิด คือสำหรับ “วัยรุ่น” แล้ว การสื่อสารจาก “เพื่อน” ถึง “เพื่อน” ย่อมได้ผลมากกว่าการสั่งสอนจากผู้ใหญ่   หากดึงคนเหล่านี้มาช่วยพูดเรื่องความปลอดภัย จะช่วยให้การสื่อสารเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น

                    พร้อมยกตัวอย่าง “เบนซ์ ณัฐนนท์” อินฟลูเอนเซอร์สายแว๊นที่ไลฟ์สดขายเสื้อยืดตัวละ 700 บาทได้วันละ 300-400 ตัว จุดเด่นของเขาคือการทำให้เด็กวัยรุ่นยอมทุบกระปุกเพื่อซื้อเสื้อของเขา นั่นแสดงให้เห็นถึง “อิทธิพล” ที่คนเหล่านี้มีต่อเยาวชน

                    “การสื่อสารกับเด็กและเยาวชน มาตรการเชิงบังคับอย่างเดียวไม่เกิดผล ต้องให้อินฟลูเอนเซอร์ มีส่วนในการขับเคลื่อนแคมเปญ เพราะเด็กวัยรุ่นเยาวชนมีความเชื่อมั่นในกลุ่มคนเหล่านี้ ถ้าเราดึงเขามาทำงาน ก็จะช่วยโรงเรียนมาก” พชรพรรษ์ กล่าว

                    อาชีวะร่วมขับเคลื่อน ปลุกวัฒนธรรมความปลอดภัย

                    ในส่วนของทิศทางการขับเคลื่อนงานในปีต่อไป ผู้เข้าร่วมเสวนาได้เสนอแนะแนวทางที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การให้ความรู้และสร้างความตระหนัก ไปจนถึงการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนในสังคมเข้ามามีส่วนร่วม

                    การสร้าง “วัฒนธรรมความปลอดภัย” ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย เริ่มต้นจากระดับครอบครัว โรงเรียน สถานประกอบการ ไปจนถึงระดับประเทศ เพื่อให้ทุกคนตระหนักว่า “ความปลอดภัยบนท้องถนน” ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของ “เราทุกคน”

                    ทวีศักดิ์ คิ้วทอง ผู้อำนวยการสำนักติดตามและประเมินผลการอาชีวศึกษา (สอศ.) ร่วมถ่ายทอดข้อเท็จจริงว่า ส่วนใหญ่อุบัติเหตุมักเกิดในช่วงหัวค่ำ โดยเฉพาะ 18.00-20.00 น. รถมอเตอร์ไซค์เป็นส่วนใหญ่ ไม่รวมช่วงเทศกาลที่ยิ่งดึกยิ่งเกิดมากขึ้น ในพื้นที่โรงเรียนเด็กเข้ามาสวมหมวกกันน็อค 100% แต่ยอมรับว่าภายนอกมีบ้าง ซึ่งสิ่งสำคัญมาองว่าเป็นเรื่องความตระหนัก โดยต้องเกิดจากการปลูกฝัง

                    “ถ้าเราบอกว่า 80% ปัญหาอุบัติเหตุเกิดจากคน เพราะฉะนั้นการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย การปลูกฝังวินัยในคนอย่างไร คือการทำให้เกิดความตระหนัก อาชีวะพร้อมร่วมรณรงค์มาตรการนี้ 365 วันปลอดภัยทุกวัน เราพร้อมขับเคลื่อนเรื่องวัฒนธรรมความปลอดภัย ปัจจุบันเรามีต้นแบบแล้ว แต่เราจะขยายเครือข่ายไปอีก มีการทำเอ็มโอยูต่อเนื่องกับ สสส. เพื่อขยายพื้นที่ทำงานต่อไป”

                    เปลี่ยน “ห้าม” เป็น “จูงใจ” ปรับพฤติกรรมอย่างสร้างสรรค์

                    การบังคับ ห้ามปราม หรือใช้มาตรการเชิงลบ อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเยาวชน  ในวงเสวนา มีการเสนอแนวคิดในการสร้าง “แรงจูงใจ” และ “สร้างความเคยชิน” กับพฤติกรรมที่ถูกต้อง

                    สุธีร์ ชุดชา ผู้อำนวยการเครือข่ายสนับสนุนการพัฒนาสังคม สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (ยท.) เห็นด้วยว่า หากภาครัฐมีการประกาศมาตรการหรือใช้มาตรการอย่างเข้มข้น ก็จะทำให้เยาวชนเห็นความสำคัญหรือตระหนัก เสริมพลังให้น้อง ๆ และอยากให้เยาวชนใช้ทุนเดิมที่มี สร้างความร่วมมือเครือข่ายรวมตัวกันเพื่อเป็นส่วนเสริมเพิ่มเติมเต็มให้ภาคี เพราะมองว่าเพื่อนคุยกับเพื่อนจะทำให้การสื่อสารเหมาะสม เป็นการลดช่องงว่างการสื่อสาร โดยที่ผ่านมาทางเครือข่าย พยายามสร้างการตระหนักรู้ในกลุ่มเยาวชน ด้วยการปลูกฝังให้เข้าใจว่าอุบัติเหตุเกิดได้ทุกเมื่อ แต่ถ้ามีการเตรียมการป้องกันจะช่วยลดอุบัติเหตุลงได้มาก

                    “เราอยากสร้างความตระหนักรู้ในเยาวชน โดยคีย์เมสเสสสามอย่าง คือ “หมวก เมา เร็ว”  นั่นคือการสวมหมวกกันน็อก การขับขี่อย่างปลอดภัยไม่ขับขี่เร็ว และการไม่ดื่มแล้วขับ โดยเฉพาะการใส่หมวกกันน็อกคือทำยังไงให้เด็กที่ขี่มอเตอร์ไซค์คิดแบบเดิมเลยว่า วันนี้ฉันจะเกิดอุบัติเหตุ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ฉันต้องทำคือ ฉันต้องใส่หมวกมาไว้ก่อน”

                    นอกจากนี้ เสียงจากเยาวชนหลายคนยังร่วมแสดงความเห็นถึงความปลอดภัยของ “ทางม้าลาย” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการข้ามถนนที่ปลอดภัย แต่ในความเป็นจริง พวกเขากลับรู้สึกว่าไม่ได้รับความปลอดภัยเมื่อใช้ทางม้าลาย เพราะรถยนต์ส่วนใหญ่ไม่ยอมจอดให้คนข้าม

                    การบังคับ ห้ามปราม หรือใช้มาตรการเชิงลบ อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเยาวชน การสร้าง “แรงจูงใจ” “สร้างจิตสำนึก” และ “สร้างความเคยชิน” ให้กลายเป็นพฤติกรรมที่ถูกต้อง อาจเป็นอีกทางออกของการแก้โจทย์สุดท้าทายในเรื่องนี้

Shares:
QR Code :
QR Code