3 ห่วง 2 เงื่อนไข สู่งานจัดการตนเองพื้นที่สุขภาวะ
ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
แฟ้มภาพ
'พื้นฐานที่สำคัญของชุมชนต้องรู้ทุนและศักยภาพตัวเองก่อน มีข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ตนเองใครเก่งด้านใดมีความรู้ด้านใดเป็นการรู้จักตัวเอง ประมาณตัวเองได้' ดวงพร เฮงบุณยพันธ์
ภารกิจงานด้านสุขภาวะชุมชน "พื้นที่จัดการตนเอง ชุมชนสุขภาวะ" ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สำนัก 3) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมด้วยภาคีเครือข่าย ร่วมผลักดันขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องมาหลายขวบปี หนึ่งในกลยุทธ์การขับเคลื่อนยังมีการออกแบบการทำงานให้ชุมชนรู้จักตัวเอง ภายใต้กลยุทธ์ที่ชื่อว่า 'การค้นหาทุนและศักยภาพชุมชน' เป็นหนึ่งกลไกสำคัญที่ได้สร้างมิติใหม่ความเปลี่ยนแปลงกระบวนการจัดการตนเองภายในชุมชน ของเครือข่ายชุมชนสุขภาวะมากกว่าสองพันแห่งทั่วประเทศ
ดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สำนัก 3) สสส. กล่าวว่าชุมชุนท้องถิ่นเข้มแข็งเป็นหลักการที่ได้รับความเชื่อถือและยอมรับระดับประเทศและระดับโลก แต่ในภาคขับเคลื่อน หัวใจสำคัญคือการออกแบบอย่างไรให้แนวคิดนี้เป็นหลักการที่ปฏิบัติได้จริงและไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้คนในระดับพื้นที่ได้
"พื้นฐานที่สำคัญของชุมชนต้องรู้ทุนและศักยภาพตัวเองก่อน มีข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ตนเอง ใครเก่งด้านใด มีความรู้ด้านใด เป็นการรู้จักตัวเอง ประมาณตัวเองได้ มีเหตุผลในการเลือกอาชีพหรือเลือกได้ว่าสิ่งที่ต้องการที่จะทำควรทำ แค่ไหน เพื่อนำไปสู่การมีภูมิคุ้มกันตัวเอง ซึ่งเหล่านี้ทั้งหมดสอดคล้องกับแนวคิด "หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" แนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรภูมิพลอดุลยเดช"
พร้อมกล่าวว่าจริงๆ แล้ว หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่าน ไม่ใช่การพูดเรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นหนทางของการพึ่งพาตนเอง (Self reliant) เป็นวิถีของความมีอยู่มีกิน การอยู่ดีมีสุข เช่นเดียวกับการทำงานเรื่องชุมชนสุขภาวะของ สสส.
"นี่ไม่ใช่สิ่งบังเอิญ เพราะในแนวคิดของชุมชนเข้มแข็งทั่วโลก พอเพียงคือการใช้ทุนทางสังคม (Social Capital) ของตัวเอง"
ด้านการเกษตรเพื่ออาหารปลอดภัย เสริมว่า เมื่อใดก็ตามที่ชาวบ้านประสบปัญหาความยากจนทางเศรษฐกิจ สิ่งที่ สสส.คำนึงถึงเสมอ คือทุกคนต้องมีความมั่นคงทางด้านอาหาร และมีวิถีชีวิตพึ่งตนเองได้ อาทิ สามารถปลูกผักกินเองมีอาหารโปรตีนสำหรับครอบครัวเขาได้ นั่นคือแนวทางเดียวกันกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
โดยบทสรุปสำคัญของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วยหลักคิด สามห่วง สองเงื่อนไข โดยสามห่วง คือ พอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกัน ในตัว ส่วนสองเงื่อนไข ได้แก่ เงื่อนไขความรู้ การมีความรอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง และเงื่อนไขคุณธรรม ซื่อสัตย์ สุจริต ขยัน อดทนและแบ่งปัน
ผู้อำนวยการสำนักงาน 3 กล่าวว่าในเรื่องความพอประมาณ การที่ชุมชนใช้ทุนและศักยภาพจัดการตนเอง จะทำให้ประเมินความต้องการอย่างไรและแค่ไหน การทำงานของ สสส.เน้นการทำงานร่วมกัน มีการลงพื้นที่ เพื่อไปศึกษาให้รู้จริง การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทำให้เห็นต้นแบบ ทำให้มีข้อมูล คิดเป็น และมีแนวทางให้เป็นคู่มือ เช่นเดียวกัน ในการศึกษาการทรงงานของพระองค์ท่านจะพบว่าทรงคิดละเอียด ทำละเอียด และใช้ข้อมูลเสมอ "พระองค์ท่านมักเสด็จพระราชดำเนินเข้าไปในพื้นที่ ถามคนท้องถิ่นว่าใครเก่งเรื่องไหน และให้คนเหล่านี้เข้ามามีบทบาทในการจัดการพื้นที่ เพราะพระองค์ท่านรู้ว่าคนที่รู้จริงที่สุดในพื้นที่คือคนที่ปฏิบัติ ไม่ใช่นักวิชาการ งานประเด็นเป็นงานเน้นเรื่องของนโยบาย แต่เวลาเราทำงานไม่รู้เลยว่าพื้นที่มีอะไรบ้าง"
ทัศนีย์ เอ่ยเสริมว่า ถ้าเราดูในช่วงที่พระองค์ท่านครองราชย์มาสิบปีแรกจะเห็นว่าท่านเน้นการลงพื้นที่ปฏิบัติอย่างเดียว ยังไม่เกิดแนวคิดหรือทฤษฎีใดๆ ในช่วงนี้ แต่หลังจากปี 2538-2545 เริ่มมีการพูดถึงเชิงปรัชญาเชิงระบบคิด ซึ่ง ก็คือการสั่งสมจากการลงพื้นที่ จนได้รับการตกตะกอนทางความคิดมาแล้ว
สำหรับในช่วงเริ่มต้น เครื่องมือที่ สสส.เลือกใช้คือการเลือกว่าจะทำงานกับใคร ซึ่งได้แก่ 4 ภาคี คือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ท้องที่ชุมชนคือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น กลุ่มองค์กรชาวบ้าน และตัวหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ซึ่งจะทำให้เกิดหนึ่งแผนหนึ่งตำบลที่เป็นหนึ่งเดียว และมีกลไกขับเคลื่อนผ่านแผนตำบล ที่ได้กลายเป็นตัวเชื่อมหลัก
ทัศนีย์เล่าถึงขบวนการทำงานขับเคลื่อนที่ผ่านมาของ สสส.ในด้านชุมชนสุขภาวะว่า อันดับแรกคือการทำให้ชุมชนข้อมูล โดยการประเมินศักยภาพตัวเองได้ในแต่ละพื้นที่ สอง เรามีแนวทางการชี้นำ ผ่านชุดกิจกรรมในแต่ละประเด็น ที่ขับเคลื่อน อย่างเช่น เรื่องงานดูแลผู้ สูงอายุจะมี 5 ชุดกิจกรรม หรือเรื่องอาหารชุมชนมี 5 ชุดกิจกรรม ถ้าหากชุมชนนากิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งหรือทุกกิจกรรม มาประยุกต์ใช้กับบริบทของตนเอง ก็จะสามารถทำเรื่องนี้ได้จริง และนำมาสู่คุณภาพชีวิตของตนเอง
ชุดกิจกรรมเหล่านี้เกิดจากข้อมูลด้านวิชาการศูนย์สนับสนุนวิชาการ ที่มีการนำความรู้ที่ใช้ 4 ส่วน ได้แก่ ความรู้จากทฤษฎี ความรู้จากการปฏิบัติผ่านการเรียนรู้ ความรู้จากภาคสังคมหรือภูมิปัญญาและความรู้จินตนาการไปข้างหน้า ว่าต้องการให้ชุมชนมีภาพเป็นอย่างไร
"เครื่องมือที่เราให้เขาจะใช้หรือไม่ก็ได้ แต่อย่างน้อยทำให้เขารู้จักทุน ข้อมูล รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป ชุมชนที่เป็นเครือข่ายตำบลสุขภาวะจริงๆ แล้วเขาได้งบประมาณจากเราไม่มากมายนัก แต่สิ่งที่เขาได้คือการมีแผนตำบลที่มีความชัดเจน มีข้อมูลมีทิศทางว่าจะไปทางไหน เมื่อมี นโยบายหรืองบประมาณจากภาครัฐหรือหน่วยงานต่างๆ เข้าจะทำให้ชุมชน มีข้อมูลพอและสามารถจัดการ ตลอดจนตัดสินใจเพื่อนำมาใช้พัฒนาชุมชนตัวเองได้" ดวงพรกล่าว
"อีกสิ่งหนึ่งคือต้องแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ต้องไปดูงานตำบลที่เป็นต้นแบบ ต้องมีจินตนาการต้องไปดูแล้วคิดว่ากลับไปบ้านคุณจะทำยังไง แต่ละพื้นที่มีอะไรบ้าง มาเรียนรู้ประเด็นที่ขับเคลื่อนกัน ซึ่ง เวลาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ คือการที่เขา ได้เห็นตัวอย่างที่ดีและไม่ดีจากพื้นที่อื่น เป็นทุนที่สร้างโอกาสเปิดโลกทัศน์ เกิดการเรียนรู้และร่วมมือกันทางวัฒนธรรม" ดวงพรกล่าว