3 นวัตกรรมสร้างสรรค์ “ชวนเด็กออกมาเล่น”
เรื่องโดย : ดนยา สุเวทเวทิน Team Content www.thaihealth.or.th
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความแตกต่างของเด็กไทยในอดีตกับปัจจุบันนั้นช่างมีมากมายเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย หลักสูตรการเรียนรู้ การอยู่อาศัย หรือแม้กระทั่ง “การเล่น”
ด้วยความที่ในสมัยก่อนเทคโนโลยียังไม่มีบทบาทในการดำรงชีวิตเท่าปัจจุบัน สมาร์โฟน แท็ปเล็ต อาจจะยังไม่เกิด แอปพลิเคชั้นไลน์ เฟสบุ๊ก อิสตาแกรมจึงยังไม่มี บวกกับการอยู่อาศัยของผู้คนยังพอให้มีพื้นที่รอบบ้าน พื้นที่ชุมชน ให้เด็กสมัยนั้นได้ออกมาวิ่งเล่น ทำกิจกรรมต่างๆ ที่สร้างความสัมพันธ์ สร้างสังคม สร้างการเคลื่อนไหว สร้างการเรียนรู้ จนอาจเรียกได้ว่ากิจกรรมในวัยเด็กเป็นส่วนสำคัญในการหล่อหลอมคนจากวิถีการดำเนินชีวิต
“เด็กไทยมีพฤติกรรมทางกายไม่เพียงพอตามที่องค์การอนามัยโลกแนะนำไว้ว่าควรจะมีการเคลื่อนไหวอย่างน้อย 60 นาทีต่อวัน แต่พบการเคลื่อนไหวเพียง 23 นาทีต่อวันเท่านั้น ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กได้เคลื่อนไหวน้อยนั้นเกิดจากเด็กไม่ได้เล่นและไม่มีพื้นที่เล่น” ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. กล่าวในงานเปิดตัวสนามเด็กเล่นสุดครีเอทีฟ 3 ต้นแบบสนามเด็กเล่นของเด็ก 6-14 ปี ที่เหมาะสมกับชุมชน จากการทำสำรวจกับโรงเรียนและชุมชนย่านเจริญกรุง ภายใต้โครงการ Active Play ของ สสส.
“บ้าน-โรงเรียน-ชุมชน 3 สิ่งแวดล้อมช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหว”
บ้าน >> พบว่ามีอัตราการขยับตัวของเด็กๆ ในบ้านน้อยที่สุด ปัญหาที่พบคือ พื้นที่บ้านมักมีขนาดเล็ก หรือไม่มีอุปกรณ์ที่เหมาะสมสำหรับการออกแรงปานกลางถึงหนัก ผู้ปกครองบางบ้านไม่สนับสนุนให้เด็กเล่นในบ้าน เนื่องจากอุปกรณ์เกะกะไม่เป็นระเบียบ การเล่นอาจทำให้ข้าวของเสียหาย หรือในบางบ้านผู้ปกครองสนับสนุนทางวิชาการมากกว่าการเล่น รวมถึงเด็กขาดแรงจูงใจในการเล่น เช่น ไม่มีพี่น้อง ไม่มีเพื่อนบ้าน
เฮ้าส์โฮลด์ แฮ็ค (Household Hack) นวัตกรรมที่ออกมาตอบโจทย์การเคลื่อนไหวร่างกายของเด็กให้มากขึ้น แม้ในบ้านจะไม่เอื้อให้เกิดการเล่น แต่เด็กสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยอุปกรณ์เสริมง่ายๆ จากการประยุกต์ใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน ที่ทำให้เรื่องงานบ้านกลายเป็นการเล่นที่สนุกสนาน เช่น ไม้กวาดไดร์ฟกอล์ฟ เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อแขนผ่านการกวาดลูกกอล์ฟให้ลงหลุมบนที่ตักขยะ
โรงเรียน >> พื้นที่ในโรงเรียนไม่เหมาะสม เช่น พื้นที่เล็กไปไม่เพียงพอต่อจำนวนเด็ก การสนับสนุนการมีกิจกรรมทางกายขึ้นอยู่กับครูแต่ละคนที่จะสร้างสรรค์กลวิธีให้เด็กเคลื่อนไหวจากการเรียนรู้
แอคทีฟเลิร์นนิ่งเพลย์กราวน์ (Active Learning Playground) การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ของครูผู้สอนที่เหมาะสมในแต่ละวิชา โดยเน้นการเรียนรู้ในในรูปแบบแอคทีฟ เลิร์นนิ่ง (Active Learning) ที่ช่วยให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้อย่างสนุกสนาน มีความกระตือรือร้น ควบคู่ไปกับการมีพัฒนาการของสมองที่โลดแล่นอย่างต่อเนื่อง เช่น สายรัดข้อมือแก้โจทย์คณิตคิดเร็ว ที่ออกแบบให้มีช่องพลาสติกใส สำหรับใส่คำตอบหรือโจทย์คำนวณ ที่มาพร้อมกับสีสันสดใส
ชุมชน >> เป็นพื้นที่ที่ควรสนับสนุนให้มีพื้นที่ที่เหมาะสมในการเล่นของเด็กเป็นอย่างมาก เพื่อจูงใจให้เด็กออกจากบ้านมาเล่น เนื่องจากเด็กมีเพื่อนที่จะชวนกันเล่นอย่างอิสระหากมีพื้นที่ที่เหมาะสมนอกจากเพิ่มความปลอดภัยแล้วยังเอื้อให้เกิดการแบ่งปัน เรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่น
โคเพลย์อิ้ง เพลย์กราวน์ (Co-Playing playground) การปรับปรุงสนามเด็กเล่นให้เอื้อต่อการเล่นร่วมกันของเด็กและเยาวชนในชุมชน โดยเน้นการออกแบบในลักษณะที่เด็กเห็นแล้วอยากเล่น อยากขยับตัว อยากออกแรง เช่น “บ้านไม้ของเล่น” ที่ถูกแบ่งออกเป็นโซนต่างๆ อาทิ โซนวิ่งออกกำลังแบบวงล้อ เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อขาและการทรงตัว โซนชู้ตบาสเกตบอลให้ลงห่วง เพื่อฝึกกล้ามเนื้อแขน ที่ออกแบบมาใน 2 ระดับความสูง เพื่อรองรับการเล่นสำหรับเด็กโต และเด็กเล็ก
เพราะวัยเด็กเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราในฐานะของผู้ใหญ่จึงไม่ควรละเลยที่จะมอบช่วงเวลาดีๆ เหล่านี้ให้แก่เขา เพราะเมื่อเด็กเล่น นั่นเท่ากับว่าพวกเขากำลังได้เรียนรู้ รวมถึงยังได้เติมเต็มทักษะการเข้าสังคม เพิ่มการมีกิจกรรมทางกายที่ช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ในอนาคต อันจะเป็นภูมิคุ้มกันช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทั้งด้านร่างกาย สังคม จิตใจ และปัญญาของพวกเขาได้อีกด้วย