3 หน่วยงานเพื่อผู้บริโภค ผนึกกำลังทำ MOU ควบคุมแร่ใยหิน

 

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ

เมื่อเร็วๆ นี้ ตัวแทนจาก 3 หน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการดูแลและคุ้มครองผู้บริโภค นำโดย นายนิโรธ เจริญประกอบ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และรศ.ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) ได้ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (mou) การควบคุมแร่ใยหิน  

3 หน่วยงานเพื่อผู้บริโภค ผนึกกำลังทำ mou ควบคุมแร่ใยหิน

ปัจจุบันแร่ใยหินชนิดไครโซไทล์ ที่อนุญาตให้ใช้ในประเทศไทย ได้มีการนำไปใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น กระเบื้องมุงหลังคา กระเบื้องยาง เบรก คลัทช์ ไม้ฝา ท่อน้ำ วัสดุกันไฟหรือฉนวนกันความร้อน ท่อน้ำร้อน หม้อไอน้ำ พลาสติกขึ้นรูปต่าง ๆ เป็นต้น แร่ใยหินทุกชนิดเป็นสารก่อมะเร็ง เมื่อกระจายเป็นอนุภาคเข้าสู่ปอดจะเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอด โรคปอดอักเสบจากแร่ใยหิน และโรคมะเร็งปอด ซึ่งเป็นโรคร้ายแรง รักษาไม่หายและทำให้พบความทุกข์ทรมานก่อนเสียชีวิต

3 หน่วยงานเพื่อผู้บริโภค ผนึกกำลังทำ mou ควบคุมแร่ใยหิน

มีการศึกษาในต่างประเทศที่ชี้ชัดว่า แร่ใยหินเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งที่เกี่ยวกับปอด เช่น การศึกษาในญี่ปุ่น อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา พบข้อมูลที่ตรงกันว่า การป่วยและการตายจากโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอด โรคปอดอักเสบจากแร่ใยหิน หรือแอสเบสโตซิส และโรคมะเร็งปอด สัมพันธ์กับปริมาณการใช้แร่ใยหิน

องค์การอนามัยโลก องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ ต่างสนับสนุนให้ยกเลิกการใช้แร่ใยหิน ประเทศต่างๆ มีมาตรการยกเลิกการใช้ประมาณ 52 ประเทศ เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เกาหลี สิงคโปร์ ไต้หวัน เป็นต้น สำหรับสหรัฐอเมริกา แคนาดา มีการจำกัดการใช้อย่างเข้มงวด

ในประเทศไทย มีการพบผู้ป่วยโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอด และโรคปอดอักเสบจากแร่ใยหิน ซึ่งคาดว่า จะมีผู้ป่วยมะเร็งเยื่อหุ้มปอดจำนวนมากกว่าพันรายต่อปีในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากจำนวนการใช้แร่ใยหินมีปริมาณมากกว่า 1 แสนตันต่อปี โดยอัตราการใช้ต่อประชากรเป็นอันดับ 2 ของโลก หรือคิดเป็น 3 กิโลกรัมต่อคนต่อปี

3 หน่วยงานเพื่อผู้บริโภค ผนึกกำลังทำ mou ควบคุมแร่ใยหิน  3 หน่วยงานเพื่อผู้บริโภค ผนึกกำลังทำ mou ควบคุมแร่ใยหิน

การควบคุมแร่ใยหิน สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้มีประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก ฉบับที่ 27 (พ.ศ. 2552) และฉบับที่ 29 (พ.ศ. 2553) เรื่อง ให้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหิน เป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก โดยกำหนดให้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหิน จะต้องระบุข้อแนะนำในการใช้ คำเตือน รวมทั้ง แสดงตราสัญลักษณ์ความเป็นอันตรายไว้ในฉลากสินค้า เพื่อเป็นการให้ข้อมูลกับผู้บริโภค

การควบคุมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ถือเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่ต้องมีการดำเนินการอย่างจริงจัง และนำไปปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ จึงได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (mou) การควบคุมแร่ใยหิน 5 ข้อ ดังนี้

ข้อแรกคือ ให้ทั้ง 3 หน่วยงาน ประสานความร่วมมือกับเครือข่ายภาคประชาชนทั้ง 76 จังหวัด ดำเนินการตรวจสอบการจัดทำฉลากสินค้าของผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินของผู้ประกอบธุรกิจ และให้มีการรายงานผลการดำเนินงานมาให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคทราบ

3 หน่วยงานเพื่อผู้บริโภค ผนึกกำลังทำ mou ควบคุมแร่ใยหิน  3 หน่วยงานเพื่อผู้บริโภค ผนึกกำลังทำ mou ควบคุมแร่ใยหิน

ข้อที่สองคือ การประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคมีความรู้เกี่ยวกับแร่ใยหิน และตระหนักถึงอันตรายของแร่ใยหิน เพื่อเป็นการป้องกันตนเอง ข้อต่อมาคือ ให้ตรวจสอบการจัดทำฉลากสินค้าของผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินจากผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อให้มีการจัดทำฉลากสินค้าเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลความปลอดภัยในการนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปใช้งาน

ข้อสี่ ให้ทั้ง 3 หน่วยงาน ร่วมกันตรวจสอบและเฝ้าระวังสินค้าที่ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัย และข้อสุดท้าย คือร่วมกันผลักดันให้มีการเลิกใช้แร่ใยหินในผลิตภัณฑ์ต่างๆ  ตลอดจนห้ามการนำเข้าแร่ใยหินชนิดไครโซไทล์ 

อย่างไรก็ตาม การหลีกเลี่ยงภัยจากแร่ใยหินที่ดีที่สุดนั้น ก็คือ “การไม่ใช้” ซึ่งการที่จะรู้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้มีหรือไม่มีแร่ใยหินก็คือ “การติดฉลาก” บอกผู้บริโภคบนผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแร่ใยหิน ที่อาจจะก่อให้เกิดมะเร็งได้ เพื่อให้ผู้บริโภคมีความระมัดระวัง 

3 หน่วยงานเพื่อผู้บริโภค ผนึกกำลังทำ mou ควบคุมแร่ใยหิน  3 หน่วยงานเพื่อผู้บริโภค ผนึกกำลังทำ mou ควบคุมแร่ใยหิน

สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ คือจะต้องให้ความรู้กับประชาชนถึงพิษภัยของแร่ใยหิน และในส่วนของภาคอุตสาหกรรม ก็ต้องมีการป้องกันที่ดีให้กับพนักงาน รวมถึงการรื้อถอนอาคารในเขตเมือง ก็ต้องมีการป้องกันไม่ให้ฟุ้งกระจาย 

มาตรการสุดท้ายคือ จะต้องมีการประกาศห้ามใช้แร่ใยหินในผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมทั้งห้ามการนำเข้า ซึ่งหากภาครัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเอาจริงเอาจัง เชื่อว่าจะทำได้อย่างแน่นอน …เพราะประเทศอื่นๆ สามารถทำได้มาแล้วและทำมานานแล้วด้วย

ซึ่งการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (mou) การควบคุมแร่ใยหินในครั้งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญยิ่ง ในการผลักดันนโยบายต่างๆ ที่จะช่วยให้ประเทศไทยปลอดจากแร่ใยหินในอนาคต รวมทั้ง คุ้มครองสุขภาพของคนไทยจากอันตราย อันเกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินนั่นเอง  

 

 

ที่มา: แผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.)
เรียบเรียงโดย : ศิรินทิพย์ อิสาสะวิน teamcontent www.thaihealth.or.th

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code