เป็นเรื่องน่ายินดีเมื่อ “บริเวณใต้สะพานคลองบางขี้แก้ง” ของชุมชนเลิศสุขสม กลายเป็น “พื้นที่ตัวอย่างสร้างสุขระดับชุมชน ประเภทพื้นที่ใต้สะพานแห่งแรกของประเทศไทย”

ที่กล่าวเช่นนั้น เพราะชุมชนเลิศสุขสม แขวงบางด้วน เขตภาษีเจริญ ถูกแบ่งแยกเป็นสองฝั่งมาเนิ่นนานนับสิบปี เหตุถนนพุทธมณฑลสาย 1 ตัดผ่าน จนทำให้สายสัมพันธ์ของชาวบ้านไม่แนบแน่นดังเดิม ขณะที่บริเวณดังกล่าวก็กลายเป็นแหล่งเสื่อมโทรม เต็มไปด้วยขยะมูลฟอย น้ำครำ และป่ารก สุ่มเสี่ยงต่อการเป็นพื้นที่ก่ออาญชากรรม

แต่ในวันนี้ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนทั้งสองฝั่งคลองบางขี้แก้งกลับมาอีกครั้ง แถมกระชับความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกว่าเดิม โดยมีความร่วมแรงร่วมใจและจุดหมายที่ต้องการพัฒนาคุณภาพของคนในชุมชนทั้งสองฝั่งให้ดีขึ้นเป็นตัวเชื่อมสายใย พร้อมองค์ความรู้ในการจัดการของศูนย์วิจัยเพื่อพัฒนาชุมชน (สวพช.) มหาวิทยาลัยสยาม ในฐานะแม่งาน และทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมด้วยสำนักงานเขตภาษีเจริญ ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้การพัฒนาประสบผลสำเร็จ จนกลายเป็น “พื้นที่สุขภาวะ” ของชุมชน ที่ทุกคนมีสิทธิ์ร่วมใช้ร่วมดูแลรักษา

“จริงๆ เราคิดกันมานานว่าอยากทำให้พื้นที่ใต้สะพานสวยงาม กลายเป็นพื้นที่ที่ชุมชนสามารถใช้สอยประโยชน์ได้ เพราะในชุมชนไม่เคยมีพื้นที่สาธารณะประโยชน์ส่วนกลางเลย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร หางบจากที่ไหน เพราะงบพัฒนาชุมชน 5,000 บาทต่อเดือน ที่รัฐให้ก็ไม่เพียงพอ กระทั่ง มหาวิทยาลัย มหิดลมาชวนให้ทำพื้นที่สุขภาวะ หลังจากพูดคุยกับชุมชนโดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่กว่า 85 คน ต่างยินดีให้ความร่วมมือ ความสำเร็จแรกจึงเกิดขึ้น แต่ทางชุมชนอยากทำให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เลยขอทุนจากสสส.จำนวน 190,000 บาท และขอความช่วยเหลือไปยังมหาวิทยาลัยสยามในเรื่ององค์ความรู้ จนกลายเป็นสุขภาวะของชุมชนอย่างที่เห็น” อารมณ์ ยมทองประธานชุมชนเลิศสุขสม ในวัยใกล้เกษียณเอ่ยถึงที่มาของพื้นที่สุขภาวะใต้สะพานแห่งแรกของประเทศไทย

ด้วยความสามัคคีหวังให้ชุมชนมีพื้นที่ส่วนกลาง ไว้ให้ลูกหลานและคนชราได้พักผ่อนหย่อนใจ คราวเดียวกันนั้นยังอาจช่วยสร้างรายได้จากการค้าขาย หรือลดรายจ่ายไม่ต้องเช่าหาพื้นที่ในการจัดงานใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นงานบุญบวชนาค งานมงคลสมรสแต่งงาน และยังเป็นลานไว้ใช้ชุมนุมงานรื่นเริงต่างๆ อย่างเทศากาลปีใหม่ ลอยกระทง ทำให้คนในชุมชนเลิศสุขสมต่างใช้สองมือและแรงกาย ถางป่า เก็บขยะ ยกหินยกทรายใส่บุ้งกี๋ปูทับพื้นที่น้ำครำ คอยดูแลรักษาความสะอาดและรถน้ำต้นไม้ แม้จะเป็นงานยากและเหนื่อยเพราะไม่สามารถนำเครื่องจักรลงมาช่วยงานได้ แต่ทุกคนก็ตั้งใจทำจนเสร็จด้วยความภาคภูมิ

ประธานชุมชนเลิศสุขสมเผยด้วยยิ้มละไมว่า ผ่านมา 2 เดือน แต่พื้นที่ใต้สะพานที่เคยรกและไม่ปลอดภัย กลายเป็นเส้นทางสัญจรเชื่อมระหว่างชุมชนสองฝั่ง ตกเย็นเด็กๆ เดินมาเล่นกีฬาตีแบต เปตอง ปิงปอง ช่วยให้ห่างไกลยาเสพติดและยังสร้างเสริมสุขภาพที่ดี ฟากพ่อแม่ก็มานั่งพูดคุยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ ส่วนคนชราก็มาออกกำลังกายเบาๆ กลายเป็นสภากาแฟยามเย็นที่เชื่อมให้ชุมชนรวมเป็นหนึ่ง

พื้นที่สุขภาวะของชุมชนเลิศสุขสมไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ แว่วว่าในอนาคตอยากพัฒนาพื้นที่ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ให้คนมาพักผ่อนล่องเรือชมวิถี แวะช้อปของพื้นบ้านจำพวกพืชผักสวนครัวและงานหัตถกรรมของชาวบ้านที่หน้าบ้านริมคลอง สร้างรายได้เพิ่มให้แก่คนในชุมชน และรื้อฟื้นการปลูกเตยหอมสัญลักษณ์ของชุมชนในอดีต ให้กลายเป็นสินค้า o-top ขึ้นชื่อ

ทั้งนี้ เสียงตอบรับจากสมาชิกชุมชนเลิศสุขสมต่อการพัฒนาพื้นที่สุขภาวะก็เป็นไปด้วยดี ลุงสำเริง นุ่มละมุน วัย 65 ขับเรือรับจ้าง บอกว่า เป็นเรื่องดีมากที่ชุมชนมีพื้นที่ตรงนี้  ทำให้คนในชุมชน 2 ฝั่งพูดคุยกันมากขึ้น และร่วมมือกันทำในสิ่งดี ๆ เป็นรูปธรรมมากขึ้น ก็ต้องดูกันต่อไปว่าตรงไหนดีจะพัฒนาต่ออย่างไร ตรงไหนบกพร่องต้องจัดสรรใหม่ ซึ่งชุมชนข้างเคียงก็รอดูความสำเร็จเพื่อนำไปเป็นแบบอย่างในการพัฒนา และดีใจกับความคิดที่จะพัฒนาพื้นที่ใต้สะพานคลองบ้างขี้แก้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวช่วยสร้างรายได้ให้คนในชุมชน หมายถึงรายได้ไว้ใช้จ่ายในครัวเรือนเพิ่มขึ้น ปัญหาครอบครัวก็ลดลง สุขภาพจิตดีส่งผลให้สุขภาพกายดี

และเหตุที่ต้องเร่งพัฒนาพื้นที่เสื่อมโทรมให้กลายเป็นพื้นที่สุขภาวะนั้น ดร.กุลธิดา จันทร์เจริญ ผู้อำนวยการ ศวพช. มหาวิทยาลัยสยามกล่าวว่า การดำเนินงานพัฒนาพื้นที่สุขภาวะใน 1 ปีที่ผ่านมาได้ระดมความร่วมมือจากชุมชนชาวภาษีเจริญ ที่ตระหนักถึงปัญหาและข้อจำกัดเชิงพื้นที่ โดยเป็นปัญหาของคนกรุงเทพที่ต้องเผชิญกับผลกระทบที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับความเจริญเชิงโครงสร้างในแบบที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องมีชีวิตกับกองขยะ น้ำเน่า การเกิดพื้นที่รกร้างจากการกระทำของคนและหน่วยงาน ขณะที่การก่อสร้างก็ร่นพื้นที่อยู่อาศัยจนเกิดชุมชนแออัด พื้นที่สีเขียวลดลง ทั้งหมดนี้ ไม่สอดคล้องกับนโยบายของ กทม.ที่ต้องการเดินหน้าสู่การเป็นเฮลธ์ตี้ ซิตี้ (healthy city) ซึ่งหากไม่สร้างความร่วมมือและเสริมศักยภาพตั้งแต่ระดับครัวเรือน ชุมชน นโยบายของ กทม.ก็ไม่อาจสำเร็จได้ จึงถึงเวลาแล้วที่คนกรุงเทพต้องร่วมสร้างพื้นที่ชุมชนให้เป็นพื้นที่สุขภาวะ แทนการเป็นพื้นที่ทุกขภาวะเช่นทุกวันนี้

“ประเทศไทยทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด มีพื้นที่แบบชุมชนเลิศสุขสมเยอะมากที่ถนนตัดผ่านแล้วแยกชุมชนออกจากกัน เฉพาะแค่ใน กทม.มี 200 กว่าแห่ง ที่ตัวพื้นที่ถูกปล่อยให้รกร้างไร้ประโยชน์ ฉะนั้นการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นพื้นที่สุขภาวะจึงเป็นเรื่องสำคัญ และแม้ว่าพื้นที่นั้นจะมีขนาดเล็ก แต่ยืนยันว่าสามารถทำได้จริงและสร้างคุณประโยชน์หลากคุณูประการ เพียงแต่การทำให้สำเร็จได้นั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากชุมชนเป็นสำคัญ” ดร.กุลธิดาระบุ พร้อมกล่าวต่อว่า ชุมชนใดที่สนใจพัฒนาพื้นที่สุขภาวะของตนสามารถติดต่อได้ที่ สวพช. โทร.0-2867-8019 อีเมล rcfcd.com@gmail.com หรือที่เว็บไซต์ www.rcfcd.com โดยต้องผ่านเกณฑ์เบื้องต้นดังนี้

1.ชุมชนมีพื้นที่สุ่มเสี่ยงต่อสุขภาวะจนปล่อยไว้มิได้ 2.ต้องเป็นพี้นที่พัฒนาได้ ไม่ใช่พื้นที่ส่วนบุคคล หรือได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นระยะเวลา 5-10 ปี 3.ชุมชนต้องให้ความร่วมมือเป็นสำคัญ และ 4.ต้องเป็นโครงการที่ไม่ทับซ้อนกับโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสส.ก่อนหน้านี้

“ถึงเวลาแล้วที่เราต้องนำความสุขในอดีตของคนไทยกลับมา ด้วยการปรับใจ ปรับสังคม เชื่อมโยงคนรุ่นใหม่กับคนสูงอายุรุ่นเก่าให้หันหน้าเข้าหากันช่วยพัฒนาชุมชนตนเอง ผ่านกิจกรรมดี ๆ อย่าง ปลูกผักลอยฟ้า จักรยานปั่นน้ำ แยกขยะในชุมชน สร้างพื้นที่สุขภาวะส่วนรวม ฯลฯ เพื่อเสริมความเข้มแข็งในการอยู่ในสังคมเมืองโดดเดี่ยว ที่ปัญหาต่างๆ ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน” ผอ.ศวพช. มหาวิทยาลัยสยาม

การพัฒนาชุมชนไม่สามารถพัฒนาได้อย่างแท้จริง หากมีแค่เงินทอง แต่การพัฒนาชุมชนให้ยั่งยืนผู้เป็นเจ้าของต้องมีส่วนร่วม ดร.พรชัย มงคลวนิช อธิการบดีมหาวิทยาลัยสยามกล่าวไว้ ในงานเปิดตัวพื้นที่สุขภาวะชุมชนเลิศสุขสมเมื่อเร็วๆ นี้

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

Shares:
QR Code :
QR Code