10 ปี การรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง
กับภารกิจยังไม่สิ้นสุด
จากสถิติการให้บริการของศูนย์พึ่งได้ในโรงพยาบาล ขนาดใหญ่ พ.ศ.2552 มีเด็ก สตรี และผู้สูงอายุ ที่ถูกกระทำทารุณเข้ารับบริการจำนวนทั้งสิ้น 26,565 ราย เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ.2550 จะนวน 7,497 ราย และเฉลี่ยผู้หญิงและเด็กถูกทำร้ายวันละ 73 ราย หรือทุก 20 นาที มีเด็ก สตรีถูกกระทำความรุนแรง 1 ราย ซึ่งที่น่าตกใจ คือ ผู้กระทำความรุนแรงเป็นคนใกล้ชิด เช่น สามี หรือคนในครอบครัวมากถึง 80% (สำนักพัฒนาระบบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข)
ซึ่งสถิติการให้บริการของศูนย์พึ่งได้สอดคล้องกับผลการสำรวจของแกนนำเครือข่ายเลิกเหล้า ลดความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กในกรุงเทพมหานคร จำนวน 22 ชุมชน 1,150 ตัวอย่าง พบว่า ผลกระทบจากปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อให้เกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นอันดับหนึ่ง 24.66% ตามด้วยปัญหาการทะเลาะวิวาท 20.90% การส่งเสียงดังรบกวน 15.64% จากผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัว
รวมถึงปัญหาความรุนแรงในครอบครัวยังมีสาเหตุมาจากความไม่เท่าเทียมกันระหว่างหญิงชายส่งผลทำให้เด็กและผู้หญิงถูกทำร้ายร่างกาย จิตใจ สุขภาพ และถูกกีดกันออกเศรษฐกิจของครอบครัว เนื่องจากผู้ชายที่เป็นสามีส่วนใหญ่เป็นผู้ยึดกุมทรัพย์สินเงินทองไว้ในมือสำหรับหญิงผู้เป็นภรรยาส่วนมากอีกเช่นกันที่เมื่อถูกทำร้าย ทุบตี หรือภรรยา และมารดาของบุตร มิให้บุตรเป็นกำพร้า และไม่อยากอยู่ในฐานะม่ายเพราะคุณค่าด้อยทางสังคม
ปรากฏการณ์ดังกล่าวข้างต้น องค์กรพัฒนาเอกชนด้านสตรีและเด็ก นักการเมืองที่เข้าใจปัญหา นักวิชาการ นักสื่อสารมวลชน และภาคีพันธมิตรด้านแรงงาน และเครือข่ายชุมชนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จึงได้ผนึกกำลังกันขับเคลื่อนปัญหาสู่สังคม และเรียกร้องต่อรัฐบาลเพื่อหากลไกการแก้ปัญหา
นับเป็นเวลากว่า 10 ปีหลังจากที่รัฐบาลได้มติคณะรัฐมนตรีปี 2542 ให้วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันยุติความรุนแรงต่อสตรีและให้มีการรณรงค์เผยแพร่ปัญหาความรุนแรงต่อสตรีทั่วประเทศได้มีความพยายามของภาคประชาสังคมผลักดันให้เกิดกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งถือเป็นกลไกหนึ่งของการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว กระทั่งปี พ.ศ.2550 ที่ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ได้ผ่านการพิจารณาเป็นกฎหมายและมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ.2550 เป็นต้นมา ทางมูลนิธิเพื่อนหญิง และเครือข่ายได้มีการนำพ.ร.บ.นี้ ไปเผยแพร่กับกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะผู้หญิง พบว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้หญิง และกล่าวว่าหากพบผู้หญิงในชุมชนถูกทำร้ายจากสามีแนะนำผู้หญิงคนนั้น และจะพาไปแจ้งความ แกนนำเครือข่ายผู้ชายที่ได้รับรู้กฎหมายนี้ต่างบอกว่า กฎหมายนี้เป็นกฎหมายที่ดีอยากให้มีการบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวดกว่าที่เป็นอยู่
แต่จากการที่กฎหมายนี้เป็นเรื่องใหม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังขาดความเข้าใจ มองว่าปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องส่วนตัว รวมทั้งการเผยแพร่กฎหมายยังไม่เป็นที่แพร่หลายนัก พบว่าผู้ที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับกฎหมายฉบับนี้บางส่วนบอกว่าเพิ่งทราบว่ามีการบังคับใช้กฎหมายนี้ เมื่อมูลนิธิเพื่อนหญิงแนะนำให้ผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวไปแจ้งความ (ในกรุงเทพฯ และพื้นที่ต่างจังหวัดซึ่งเป็นเครือข่ายของมูลนิธิฯ) ก็ต้องนำ พ.ร.บ.ฉบับนี้ไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดูด้วย
นอกจากการรณรงค์และการบังคับใช้กฎหมายแล้วบทเรียนในการลงทำงานแก้ไขปัญหาและป้องกันความรุนแรง ต่อผู้หญิงและเด็กในชุมชนของมูลนิธิเพื่อนหญิงในแผนงาน พัฒนาองค์กรเลิกเหล้า ลดความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กใน 10 จังหวัด พบว่า วิธีที่ได้ผล คือ การปรับเปลี่ยนในระดับบุคคล โดยดึงผู้ที่มีปัญหาจากความรุนแรงทั้งผู้ถูกกระทำและผู้กระทำมาเป็นต้นแบบโดยการให้ผู้ชายที่เป็นผู้กระทำความรุนแรงเลิกเหล้า ลดความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก และให้ผู้หญิงที่เป็นผู้ถูกกระทำออกมารณรงค์คนในชุมชนให้ตระหนักถึงปัญหาความรุนแรงว่าไม่ใช่เรื่องส่วนตัว จนเกิดเป็นชุมชนต้นแบบลด ละ เลิกเหล้า ลดความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก ขยายไปสู่ชุมชนอื่นโดยการสร้างความตระหนักการมีส่วนร่วมในการแก้ไขและร่วมกันปัญหาในชุมชนได้
ในโอกาสเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก (พฤศจิกายน) ของทุกปีมีการรณรงค์เกิดขึ้นทั่วประเทศในรูปแบบต่างๆ นั้นยังไม่เพียงพอ เพราะการแก้ปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ฏ ต้องมีมาตรการอื่นๆ ตั้งแต่การบังคับใช้กฎหมาย การปรับเปลี่ยนทัศนคติความคิดแบบชายเป็นใหญ่ของคนในสังคมรวมทั้งการให้ชุมชนลุกขึ้นมามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานของรัฐ ซึ่งต้องมีการทำงานอย่างต่อเนื่อง และมีแผนงานประสานการทำงานความร่วมมือแบบบูรณาการ จึงจะทำให้ปัญหาบรรเทาเบาบางลงไปได้
สสส.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ www.thaihealth.or.th สอบถาม 0-2298-0500 ต่อ 1222
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน
Update: 25-11-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่