ไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังต้นเหตุมะเร็งตับ

ไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังต้นเหตุมะเร็งตับ thaihealth


          ไวรัสตับอักเสบถือว่าเป็นภัยร้ายใกล้ตัวคนไทย ที่สามารถพัฒนาการไปสู่อาการตับอักเสบ ตับแข็ง สุดท้ายแล้วกลายเป็นโรคมะเร็งเซลล์ตับในที่สุด   แต่ก็ใช่ว่าโรคนี้จะไม่มีทางรักษาได้ หากเราหมั่นตรวจเช็คสุขภาพก็ย่อมเป็นการป้องกันให้ไกลจากอาการนี้ได้


          ภาวะไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง  มักจะไม่แสดงอาการใดๆ ผู้ป่วยอาจมีชีวิตยืนยาวได้เท่าคนปกติ หากพบว่าผู้นั้นมีจำนวนเชื้อไวรัสในเลือดไม่มากนักและไม่มีร่องรอยที่แสดงว่ามีการอักเสบของเนื้อตับเกิดขึ้น  แต่เราสามารถทราบว่าเราได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ได้จากการตรวจพบแอนติเจนของไวรัสตับอักเสบบีในเลือดโดยเฉพาะแอนติเจนชนิดผิว (Hepatitis-B Surface Antigen หรือ HBsAg) ซึ่งหลายๆ ท่านอาจตรวจพบได้โดย การบริจาคโลหิต ตรวจร่างกายประจำปี และจากการตรวจติดตามเมื่อหายป่วยจากไวรัสโรคตับอักเสบแล้ว เป็นต้น


          สาเหตุหลักของภาวะเป็นไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ประมาณร้อยละ 90 ของเด็กเกิดใหม่ จึงเป็นผลมาจากการติดเชื้อจากมารดาเป็นพาหะติดต่อสู่ลูก จนถึงการติดเชื้อในผู้ใหญ่ เนื่องจากในวัยเด็กยังไม่มีภูมิต้านทานของร่างกายที่เพียงพอที่จะขจัดไวรัสออกจากร่างกายหลังจากที่ร่างกายได้รับเชื้อนี้แล้ว นอกจากนี้ยังสามารถแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นได้ทำนองเดียวกันกับไวรัส เอชไอวี จากการสัมผัสใกล้ชิดกับสิ่งคัดหลั่ง การใช้เข็มและสิ่งมีคมร่วมกัน การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัย ตลอดจนการได้รับถ่ายเลือด เป็นต้น


          จากรายงานผลการตรวจแอนติเจนไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg) ในผู้บริจาคโลหิตของศูนย์บริการโลหิต สภากาชาดไทยใน พ.ศ. 2552 พบข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้ ผู้บริจาคโลหิตมีจำนวนทั้งสิ้น 321,825 ราย มีอายุระหว่าง 18-60 ปี เป็นเพศชาย 47 เปอร์เซ็นต์ และเพศหญิง 53 เปอร์เซ็นต์ เป็นผู้บริจาคโลหิตรายใหม่ 91,111 ราย และผู้บริจาคโลหิตประจำ 230,714 ราย พบความชุกของภาวะไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง (HBsAg positive) ในผู้บริจาคโลหิตรายใหม่ 2.7 เปอร์เซ็นต์ และความชุกของภาวะไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง (HBsAg positive) ในผู้บริจาคโลหิตประจำ 0.28 เปอร์เซ็นต์ จึงอาจประมาณการได้ว่าในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน มีความชุกของภาวะไวรัสตับอักเสบบี ในประชากรไทย ประมาณ 1.7 ล้านคน และจะมีผู้ที่ทยอยป่วยเป็นมะเร็งตับประมาณปีละ 17,000คน หรือประมาณร้อยละ 1 ต่อปีของผู้ที่มีภาวะไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง


          ปริมาณของเชื้อทราบได้จากการวัดปริมาณ ดีเอ็นเอของไวรัส (HBV DNA)ในเลือด หรือการตรวจหา อีแอนติเจน (HBeAg) ในเลือด อาการที่แสดงภาวะมีการอักเสบของเนื้อตับ ผู้ป่วยจะทราบได้จากการตรวจเอ็นซัยม์ตับ (ALT) การตรวจพบอีแอนติเจนในเลือด แสดงว่ามีปริมาณของเชื้อมากและค่าของเอ็นซัยม์ตับที่สูงกว่าปกติแสดงถึงภาวะมีการอักเสบของเนื้อตับ ในประเทศทางตะวันตกที่ประชากรมีความชุกของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีต่ำ พบว่ามีความชุกของอีแอนติเจนต่ำด้วย ส่วนในประเทศทางเอเซียซึ่งมีประชากรมีความชุกของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสูง พบว่ามีความชุกของอีแอนติเจนสูงด้วย ตัวอย่างเช่น การศึกษาในประเทศแคนาดา พบอีแอนติเจน ในผู้ที่มีภาวะไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังเพียงร้อยละ 6 แต่ในประเทศอินเดีย พบอีแอนติเจนในผู้ที่มีภาวะไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังสูงถึงร้อยละ 45 และพบว่าร้อยละ 76 ของจำนวนดังกล่าวนี้มีภาวะการอักเสบของเนื้อตับเกิดร่วมด้วย


          ปัจจัยการเกิดภาวะการอักเสบของเนื้อตับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิด ตับแข็งและมะเร็งตับในเวลาต่อมา


          ผู้ที่มีภาวะไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ควรปฏิบัติตนดังนี้


         1. งดดื่มเหล้าและสารประเภทแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด เพราะสารดังกล่าวซ้ำเติมให้เซลล์เนื้อตับเกิดการอักเสบมากขึ้น


         2. พบแพทย์เป็นระยะๆ (ทุก 3-6 เดือน) เพื่อติดตามตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสและร่องรอยการอักเสบของเนื้อตับ รวมทั้งตรวจคัดกรองเพื่อค้นหามะเร็งตับในระยะเริ่มแรก


         3. ผู้ที่มีปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดสูงและมีร่องรอยการอักเสบของเนื้อตับควรได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส หรือได้รับทั้งยากินและยาฉีด เพื่อลดจำนวนของเชื้อไวรัสและลดการอักเสบของเนื้อตับ สำหรับยากินต้านไวรัสมีหลายชนิดและต้องกินติดต่อกันเป็นเวลานานอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการเกิดเชื้อไวรัสต้านยา ทั้งนี้ให้อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแล


          แม้ว่าในปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์จะสามารถรักษาหรือเยียวยาได้มากขึ้นก็ตาม แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การป้องกัน และเฝ้าระวังตนเองจากภาวะเสี่ยงต่างๆ ซึ่งถือเป็นการรักษาตนที่ดีที่สุดยิ่งกว่าการรักษาใดๆ เพราะเมื่อเป็นแล้ว โอกาสในการหายขาดอาจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ป่วยหลายๆ ราย


 


          ที่มา : เว็บไซต์โรงพยาบาลจุฬาภรณ์


          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

Shares:
QR Code :
QR Code