ไรัสัญชาติไทย ไม่ไร้สิทธิเล่าเรียน
ในประเทศไทยมีเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยอยู่ราว 2.5-3 แสนคน ปัญหาหนึ่งของเด็กๆเหล่านี้ คือ ปัญหาด้านการศึกษา แม้ว่ารัฐบาลจะมีความพยายามส่งเสริมและจัดการศึกษาให้กับเด็กโดยไม่เลือกว่าจะมีสัญชาติไทยหรือไม่แต่ก็ยังพบว่า มีเด็กประมาณร้อยละ 75 ยังไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาที่จัดโดยรัฐ
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.)สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยนายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการ กศน. และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) โดย ดร.ประกาศิต กายะสิทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะ ประชากรกลุ่มเฉพาะสสส. ภายใต้การดำเนินการโครงการพัฒนาแนวทางและรูปแบบการจัดการการศึกษาที่เหมาะสมกับผู้มีปัญหาสถานะบุคคลและแรงงานข้ามชาติซึ่งดำเนินงานโดยมูลนิธิเพื่อเยาวชนชนบท(มยช.) ได้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการส่งเสริมการศึกษาให้กับบุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยณ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา (รังสิต)คลองหก อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี
นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการกศน.กล่าวต่อผู้บริหาร กศน.จังหวัดและกศน.อำเภอทั่วประเทศ ที่เข้าร่วมงาน ในตอนหนึ่งว่า “…..คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฏรหรือไม่มีสัญชาติไทย มาแล้วตั้งแต่ปี 2548 ดังนั้นสถานศึกษาภายใต้สังกัด กศน.ก็สามารถจัดการศึกษาให้กับบุคคลดังกล่าวได้ ไม่ว่าจะมาจากประเทศพม่า ลาว หรือกัมพูชา เพื่อให้รู้ภาษาไทยเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร รู้กฎหมาย และเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมไทย เราจัดการศึกษาให้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะการศึกษาในระดับประถม ม.ต้น ม.ปลาย สามารถได้รับงบประมาณสนับสนุนเหมือนกันกับคนไทย”
“ขอให้ผู้บริหาร กศน.จังหวัด / อำเภอมั่นใจว่าเราสามารถทำได้ ซึ่งการจัดการศึกษาให้คนกลุ่มนี้สามารถอ่านออกเขียนได้จะส่งผลต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข”นายประเสริฐ ย้ำ
นางสาวลัดดาวัลย์ หลักแก้ว ผู้จัดการโครงการมูลนิธิเพื่อเยาวชนชนบท เพิ่มเติมว่า จากการดำเนินงานร่วมกับ กศน. พบว่า กศน.มีรูปแบบการจัดการศึกษาที่มีความยืดหยุ่น และสามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม และมีภารกิจจัดการศึกษาในกลุ่มเป้าหมายพิเศษ ซึ่งครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั้งเด็กและผู้ใหญ่หรือวัยแรงงานที่ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยในการแก้ไขปัญหาการเข้าถึงการศึกษาของเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทย โดยเฉพาะเด็กโตที่มักจะมีปัญหาการเข้าถึงการศึกษาในระบบโรงเรียน และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการศึกษาของเยาวชนและผู้ใหญ่ โดยได้รับการรับรองวุฒิการศึกษาจากรัฐ ขณะเดียวกันศูนย์การเรียนเด็กต่างชาติ(Migrant Learning Center) ก็สามารถที่จะจัดการศึกษาที่ได้รับการยอมรับจากภาครัฐในฐานะภาคีเครือข่ายความร่วมมือของ กศน. โดยได้รับการรับรองวุฒิการศึกษาตามระเบียบที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดเช่นเดียวกันกับการศึกษาในระบบปกติทั่วไป
“ขณะนี้ กศน.กลุ่มเป้าหมายพิเศษ ได้จัดทำแนวทางการดำเนินงานและหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับประถมศึกษา ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551สำหรับเด็กต่างด้าวและผู้ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งโครงการพัฒนาแนวทางและรูปแบบการจัดการการศึกษาที่เหมาะสมฯ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดทำหลักสูตรด้วย โดยปัจจุบันมีการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรดังกล่าว ในพื้นที่นำร่องอ.แม่สอด จังหวัดตาก อ.เมือง ระนองอ.ตำกั่วป่า พังงา และอ.เมือง สมุทรสาคร”นางสาวลัดดาวัลย์ กล่าว
นางสาวลัดดาวัลย์ บอกต่อว่า สำหรับการจัดการศึกษาให้กับแรงงานข้ามชาติและผู้มีปัญหาสถานะบุคคล ใน 2 พื้นที่ คือ 1.พื้นที่กทม.มูลนิธิเพื่อเยาวชนบท ได้จัดการศึกษาให้กับแรงงานข้ามชาติ โดยร่วมกับ กศน.เขตบางบอนอยู่แล้ว และมีแผนการพัฒนาหลักสูตรระยะสั้นภาษาไทย-พม่า เพื่อการสื่อสารและการทำงาน ให้กับแรงงานพม่าและแรงงานไทยในรูปแบบเรียนร่วม เป็นศูนย์การเรียนในโรงงานโดยดึงความร่วมมือจากสถานประกอบการเข้ามามีส่วนร่วม 2.พื้นที่ อ.ท่าบ่อ หนองคาย ศูนย์ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนภาคอีสานซึ่งเป็นภาคีหลักอีกหนึ่งองค์กรที่ร่วมดำเนินงาน มีการจัดการศึกษาร่วมกับ กศน.อ.ท่าบ่อ ท้องถิ่นและชุมชน ให้กับแรงงานจากสปป.ลาว และมีแผนการพัฒนาหลักสูตรระยะสั้นภาษาไทย-ลาวเพื่อการสื่อสาร การทำงาน ที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตและอาชีวอนามัยในการทำงานในเกษตรพันธสัญญา เพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอนต่อไป
การกำหนดให้มีแนวทางการดำเนินงานและการจัดการศึกษาที่มีความเฉพาะ เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม ถือเป็นการเปิดโอกาสให้กับเด็กที่เป็นบุตรหลานของแรงงานข้ามชาติที่ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาในระบบโรงเรียน ให้ได้รับการศึกษาที่เหมาะสมกับวัยเช่นเดียวกับเด็กทั่วไป รวมถึงกลุ่มเยาวชน และผู้ใหญ่ที่เป็นแรงงานข้ามชาติ ที่มีความต้องการและเห็นความจำเป็นทางการศึกษา มีโอกาสได้เรียนรู้ภาษาของประเทศปลายทางหรือได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานและการอยู่ร่วมกันในสังคมไทยต่อไป
ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต