“ไพบูลย์” ชี้ปัจจัย “สำเร็จ-ล้มเหลว”

ตอบโจทย์ 1 ปีปฏิรูปกระจายอำนาจ

 

 

“ไพบูลย์” ชี้ปัจจัย “สำเร็จ-ล้มเหลว”

 

 

          หลังจากมีข่าวว่า นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการปฎิรูป และ นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป กำหนด “วาระเร่งด่วน” ในการปฏิรูปประเทศไทย ระบุว่าภายใน 1 ปี การปฏิรูปการกระจายอำนาจ การปฏิรูปภาษี และการปฏิรูประบบที่ดินน่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรม

 

          “แกะรอยปฏิรูปฯ” จึงแวะเวียนไปสัมภาษณ์ อาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ประธานคณะกรรมการเครือข่ายองค์กรชุมชนเพื่อการปฏิรูป หนึ่งในคณะกรรมการขับเคลื่อนที่ได้รับแต่งตั้งจากคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป

 

          ดูสิว่า 1 ปีต่อแต่นี้ไป การปฏิรูปกระจายอำนาจจะเห็นเป็นรูปธรรมได้เช่นไร?

 

          อาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม เริ่มต้นปูพื้นให้ฟังว่า “หากพูดถึงเรื่องการกระจายอำนาจ กลุ่มองค์กรที่เกี่ยวข้องมากที่สุด คือกลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เทศบาล และองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่งแม้ว่าจะมีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ พ.ศ.2542 บังคับใช้ แต่ยังปรากฏว่าการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังไม่ดีเท่าที่ควร”

 

          แล้วจะทำอย่างไรดี? อาจารย์ไพบูลย์บอกว่า “ที่ประชุมคณะกรรมการเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูป เห็นพ้องกันว่า รัฐบาลต้อง”กระจายอำนาจ” ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่าง “เพียงพอ” และ “บูรณาการ” โดยให้อำนาจในการจัดการด้าน “งาน” “เงิน” และ”คน” ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น”

 

          วิธีการก็คือ….”ปัจจุบันในจังหวัด เทศบาล และตำบลมีพลังท้องถิ่น 3 ส่วน คือ 1.ราชการส่วนภูมิภาคมีผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน กำกับดูแล 2.องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มี อบจ. เทศบาล และ อบต. และ 3.พลังประชาชน ที่ไม่มีอำนาจทางกฎหมายและไม่มีงบประมาณ

 

          พลังประชาชนนี้รวมตัวกันเป็นองค์กรต่างๆ เรียกว่า “องค์กรชุมชน”

 

          องค์กรชุมชนที่ว่า มีทั้งระดับหมู่บ้านระดับตำบล ระดับอำเภอ และระดับจังหวัด เช่น กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มเยาวชน กลุ่มผู้ใช้น้ำ กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติแต่ที่มีมากที่สุด คือ กลุ่มออมทรัพย์ มีจำนวน 50,000 แห่ง ซึ่งถ้ารวมกับกองทุนหมู่บ้านที่รัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือในการจัดตั้งอีก 80,000 แห่ง

 

          รวมๆ แล้วมีกว่า 100,000 แห่ง ! องค์กรชุมชนเหล่านี้ได้รวมตัวกันในระดับตำบล กลายเป็นสภาองค์กรชุมชนตำบลสภาองค์กรชุมชนในเขตเทศบาล สภาองค์กรชุมชนระดับจังหวัด ระดับภาค และเป็นองค์กรสภาชุมชนระดับประเทศ แต่องค์กรที่กฎหมายรองรับชัดเจน มีเพียงระดับตำบลเท่านั้น ส่วนระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศนั้น เป็นการมาประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รวมทั้งเสนอแนะแนวทางการพัฒนาท้องถิ่นและพัฒนาประเทศ

 

          องค์กรชุมชนไม่ว่าจะเป็นองค์กรเดี่ยวหรือเครือข่ายองค์กรชุมชน (ในกรณีที่ยังไม่มีสภาองค์กรชุมชน เรียกว่า เครือข่ายองค์กรชุมชนหรือขบวนชุมชน) ในจำนวนนี้มี จ.อำนาจเจริญเพียง 1 แห่ง ที่มีสภาองค์กรชุมชนครบทุกตำบล แต่เนื่องจากสภาองค์กรชุมชนเป็นองค์กรที่เน้นการร่วมมือกันทั้งภายในและภายนอกองค์กรชุมชน โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ราชการส่วนภูมิภาค และหน่วยงานอื่นๆ รวมอยู่

 

          ฉะนั้นจึงไม่มีอำนาจสั่งการหรือแทรกแซงใคร แต่นับว่ามีพลัง เพราะมีการรวมตัว มีพลังของจำนวน มีพลังของการเป็นตัวแทนประชาชน มีพลังของการร่วมกันคิดและร่วมกันทำ

 

          ดังนั้น ถ้าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐบาลกลาง หรือราชการส่วนภูมิภาค  มอบหมายอำนาจในการจัดการให้กับองค์กรชุมชนมอบงบประมาณให้กับชุมชน ก็ถือว่าเป็นการมอบอำนาจให้ประชาชนโดยตรง

 

          แต่ไม่ว่าจะเป็นการมอบอำนาจ หรือกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือให้กับองค์กรภาคประชาชน ไม่ว่าการมอบอำนาจ หรือกระจายอำนาจนั้น จะเป็นการให้ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม ทุกอย่างล้วนถือเป็นการกระจายอำนาจให้กับประชาชนทั้งสิ้น

 

          สำหรับรูปแบบการทำงานในการกระจายอำนาจนั้น อาจารย์ไพบูลย์อธิบายให้ฟังว่า…

 

          “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องมีการคิดและตัดสินใจเรื่องต่างๆ ร่วมกับองค์กรประชาชน รวมทั้งร่วมมือกับองค์กรอื่นๆ เช่น ราชการส่วนภูมิภาค และสถาบันอื่นๆ อย่างในภาครัฐจะมีสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (สพช.) มีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ตั้งเป็นกองทุนประกันสุขภาพให้กับตำบล มีสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในการสนับสนุนการพัฒนาท้องถิ่นด้านสุขภาวะ และมีหน่วยงานที่เป็นกระทรวงต่างๆ เข้าไปทำงานในท้องถิ่น”

 

          “แทนที่จะไปคิดเองทำเอง แยกกันไปทำ แต่ถ้าร่วมมือกันและไปสนับสนุนให้ประชาชนจัดการกันเอง โดยสนับสนุนงบประมาณเข้าไปและตกลงกับท้องถิ่นว่าผลที่ได้จะเป็นอย่างไรโดยมีการกำหนดเงื่อนไขขึ้นมา”

 

          อย่างนี้จึงจะเรียกว่า “ท้องถิ่นจัดการเอง” !แล้ว 1 ปีนี้จะเกิดผลอย่างที่ต้องการหรือเปล่า?

 

          คำถามนี้อาจารย์ไพบูลย์ยอมรับว่าตอบไม่ได้ เพราะปัจจัยขึ้นอยู่กับประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรภาครัฐองค์กรที่ไม่ใช่ภาครัฐ เช่น สถาบันการศึกษา สถาบันภาคธุรกิจ  สถาบันทางศาสนา เอ็นจีโอ มหาวิทยาลัย ภาคธุรกิจ และอื่น ๆ แต่การทำงานนั้นต้องให้องค์กรชุมชนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นคนคิดวางแผนดำเนินการ เรียนรู้ และปรับปรุงพัฒนาตัวเองส่วนหน่วยงานข้างนอกเป็น “ตัวช่วย”

 

          “หน่วยงานข้างนอกแค่ให้การสนับสนุนด้านการเงิน ด้านวิชาการ และกำลังคน แต่ต้องไม่ควบคุมหรือชี้นำ” ถ้ามีการร่วมมือกันทำงานกันเป็นเครือข่ายก็จะเกิดพลังอันยิ่งใหญ่

 

          หลังจากทำในระดับท้องถิ่นแล้ว น่าจะมีตัวแทนจากท้องถิ่นมารวมตัวกันที่จังหวัด จัดเป็นสมัชชาระดับจังหวัด เพื่อให้ความคิดเรื่องการพัฒนาท้องถิ่นและจังหวัด ผสมกลมกลืนไปได้ เพราะถ้าเราพัฒนาที่ตำบลหรือเขตเทศบาลจะต่างกับการพัฒนาระดับจังหวัดจึงต้องนำประสบการณ์การเรียนรู้และความผิดพลาดจากท้องถิ่นมาผสมผสานกับยุทธศาสตร์ระดับจังหวัดให้ผสมกลมกลืนกัน

 

          นั่นคือภารกิจอันดับแรกที่ต้องเร่งจัดทำและเมื่อทำแล้วพบอุปสรรคหรือปัจจัยเกื้อหนุนใด ๆ ที่อำนาจจากส่วนกลางสามารถสนับสนุนได้ ก็จัดทำข้อเสนอขึ้นมาเพื่อให้ได้รับการสนับสนุน

 

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน 

 

 

 

 

Update : 09-11-53

อัพเดทเนื้อหาโดย : สุนันทา สุขสุมิตร

Shares:
QR Code :
QR Code