ได้วันละบาท ดีกว่าขาดวันละร้อย
ที่มา : วิถีชุมชน สร้างเศรษฐกิจฐานราก : ศูนย์เรียนรู้ โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ และประชารัฐ
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพและอินเทอร์เน็ต
'ได้วันละบาท ดีกว่าขาดวันละร้อย' ที่ องค์การบริหารส่วนตำบลวังหลุม อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร
ผล โอดเปี้ย หรือที่รู้จักกันในนาม ลุงสี หรือปราชญ์ชาวบ้านด้านเศรษฐกิจพอเพียง ประจำหมู่ 7 บ้านคลองขุด ตำบลวังหลุด อาศัยอยู่ใต้ความร่มรื่นของแมกไม้ รอบรั้วอาณาเขต ‘ศูนย์การเรียนรู้ปราชญ์เศรษฐกิจพอเพียง’ หน้าบ้านมีแคร่ไม้ไว้รับแขก ทั้งเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ
“เมื่อก่อนทำนาแล้วเป็นหนี้เป็นสินจนได้มาดูพ่อหลวงในโทรทัศน์ ก็เริ่มคิดว่าเราจะทำนาให้เป็นหนี้ไปทำไมก็เลยเลิกทำนากลับมาปลูกผักเลี้ยงกบเลี้ยงปลา แล้วก็มาปลูกไม้ประดับพออยู่ได้ ส่วนใหญ่ปลูกผักกาดขาว ถั่ว มะเขือ แก้วมังกร มะละกอ ปลูกเอาไว้กิน เหลือกินค่อยเอาไปขาย ไม่ใช่จะปลูกส่งเป็นรถอะไร แค่พอขายได้ไปวันๆ ลุงไม่ทำอย่างที่อื่นที่ขายกันทีละมากๆ ไม่หมดก็ขาดทุน ลุงไม่คิดอย่างนั้น พ่อหลวงบอกว่า คนเรามีความต้องการน้อยก็มีความโลภน้อย คนเราก็อยู่ได้และอยู่เป็นสุข สุงถืออย่างนี้ตลอด” ลุงสีเล่าให้ฟัง
ตลาดของลุงผลนั้น ส่วนใหญ่จะขายตามบ้าน เขามาซื้อบ้าง ด้วยเวลามีงานบวชนาค งานแต่ง บางทีโรงพยาบาลก็มาซื้อ อบต.ก็ติดต่อประสานงานให้ไปส่ง
“บางทีเขามีบูธให้ ไปทีก็ห้าร้อยบ้าง สามร้อยบ้าง ไปวางผักขาย แต่ถ้าเราทำไม่ทันก็จะไม่เอาของที่อื่นมาลงทุน เอาแต่ของเรา ลุงคิดว่า ได้วันละบาทดีกว่าขาดวันละร้อย เราอยู่ได้ เราไม่ซื้อกิน วันๆ จะกินอะไรก็กินแต่ผักของเรา นอกจากซื้อยา ซื้อของใช้เป็นเสื้อผ้า อะไรเราก็ทำของเราได้ อยู่กันสองคนตายาย ก็ทำอยู่อย่างนี้แหละ พอได้อยู่ได้กิน”
ลุงผลว่า การอยู่แบบนี้ไม่ร่ำรวย ไม่มีรถ ไม่มีบ้านใหญ่ๆ แค่อยู่อย่างเป็นสุข คนบ้านใกล้บ้านไกลก็มาดูความเป็นอยู่ที่นี่ บางครั้งลุงผลก็เป็นคนออกไปสอนให้บ้านที่สนใจปลูกผัก ปลูกดอกไม้ ทำได้มากน้อยต่างกันไปบ้างไม่ได้เลยก็มี
ปัจจัยที่ทำให้ชาวบ้านบางครัวเรือนไม่อาจใช้ชีวิตอย่างพอเพียงได้ ลุงผลว่า เป็นเพราะมีความขยันไม่ถึง เพราะต้องใช้ความอดทนประสานกับความขยัน อย่างที่สวนของลุงสีเอง ที่เห็นแมลงไม่ค่อยมาก เพราะได้ทำยาสมุนไพรใช้เอง
“เหนื่อยก็พักผ่อน เช้าๆ ลุงจะขี่จักรยานคันหนึ่งไปเก็บผัก ขายได้วันละ 100-150 บาท แต่ไม่รวยนะ ไม่มีรถขี่เหมือนเขา แต่สวนลุงนี่มีทุกอย่าง อย่างละนิดอย่างละหน่อย มีบ่อเลี้ยงกบเลี้ยงปลา ความสุขของลุงอยู่ที่การทำ มันอยู่ที่ใจทั้งหมด นี่แค่ 2 ไร่นะ แต่ลุงก็อยู่ได้ ไม่เหมือนตอนทำนาเป็นสิบๆ ไร่ แต่เป็นหนี้เป็นสิน” ลุงสีว่า
เห็นอย่างนี้แล้ว รายได้ต่อปีของลุงสี จากการขายผักขายดอกไม้ตามงานวัด งานบวชนาค ก็มีถึงร่วม 3 หมื่น แลดูอาจไม่มากเลยในปีหนึ่ง ซึ่งถ้าเทียบว่า นี่เป็นเงินเพียงเดือนเดียวที่ชาวเมืองหลวงหาได้ แต่มันก็เป็นเงินสำหรับชีวิตที่ไม่มีต้นทุน น้ำไฟนั้น ลุงสีว่า ใช้ไม่เคยถึงต้องจ่ายหลวง ซึ่งถ้าหากต้องการใช้มากหน่อยลุงสีก็มีเครื่องปั่นไฟเล็กๆ กลางสวน ขนาด 2 ไร่ ของแก “ลุงประหยัดตรงอื่น ลมพัด พัดลมบ้าง ทีวีบ้าง บางครั้งมันไม่จำเป็นต้องใช้ เราลดของเราลง ที่จริงบ้านลุงก็มีทีวี ตู้เย็น แต่ใช้ไม่เคยถึง 45 หน่วย ลุงไม่เสียค่าไฟมาเป็นปีๆ” ลุงสีเล่าปิดท้าย