โรคไข้ไรอ่อน
ที่มา : คู่มือรู้ทันโรคและภัยสุขภาพสำหรับประชาชน โดยสำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
แฟ้มภาพ
โรคไข้ไรอ่อนหรือโรคไข้รากสาดใหญ่ (scrup typhus) เป็นโรคติดเชื้อทีเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ชื่อ O. tsutsugamushi โดยมีตัวไรอ่อนซึ่งอาศัยอยู่ในหนูเป็นพาหะ ติดต่อทางบาดแผลที่ถูกตัวอ่อนของตัวไรอ่อนกัด
โรคนี้มักพบในผู้ใหญ่ตั้งแต่ 25 ปี ขึ้นไป โดยมากมักพบในกลุ่มเกษตรกร ชาวนา ชาวสวน ที่ต้องออกไปทำงานในไร่ ในนา และทหาร ตำรวจชายแดนที่ต้องออกลาดตระเวนทำให้มีโอกาสถูกไรอ่อนที่มีเชื้อกัด แล้วปล่อยเชื้อเข้าสู่ร่างกายทางรอยแผลหรือรอยถลอก โดยทั่วไปมีระยะฟักตัว 10 – 12 วัน แต่อาจแตกต่างกันได้ตั้งแต่ 6 – 21 วัน ทำให้ผู้ถูกกัดป่วย มีอาการไข้ร่วมกับอาการอื่น สำหรับในเด็กมักพบในเด็กโตมากกว่าเด็กอ่อน
อาการของโรคไข้ไรอ่อน
หลังถูกไรอ่อนกัด 10 – 12 วัน จะมีอาการปวดศีรษะที่ขมับและหน้าผาก มีไข้สูงร่วมกับหนาวสั่น (ไข้อาจอยู่ 2 – 3 สัปดาห์) หน้าแดง ตาแดง คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยตามตัว บางรายมีอาการปวดน่อง ต่อมน้ำเหลืองโตและเจ็บ มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ตับโต ม้ามโต บริเวณที่ถูกกัดจะเจ็บ และมีแผลบุ๋มสีดำ คล้ายแผลรอยไหม้จากบุหรี่จี้ รูปร่างกลมออกรี ขอบนูนเรียบ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.5 – 1.5 ซม. อยู่นานประมาณ 6 – 18 วัน อาจตรวจพบได้ตั้งแต่ 5 วันก่อนมีไข้ แต่บางรายอาจตรวจไม่พบรอย รอบ ๆ แผลจะมีอาการบวมแดง ไม่เจ็บ มักพบที่รักแร้ ขาหนีบ และรอบ ๆ เอว ร่วมกับพบผื่อนแดงตามลำตัวและแขนขา แต่ไม่คัน พบได้ประมาณวันที่ 3 – 8 หลังจากมีไข้ และผื่นจะอยู่ประมาณ 4 – 5 วัน จะหายไปและอาจพบภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับเชื้อ ได้แก่ ปอดอักเสบ ไตวายเฉียบพลัน กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และภาวะอวัยวะภายในล้มเหลวหลายระบบ
การรักษา
รักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่สามารถฆ่าเชื้อ O. tsutsugamushi เป็นวิธีเดียวที่ช่วยลดอาการของโรค โดยทั่วไปรักษาด้วยยา Tetracycline 500 mg วันละ 2 ครั้ง และยา Doxycycline 100 mg วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน หรือยา Choramphenicol 50 – 75 mg/น้ำหนักตัว 1 kg/ วัน ซึ่งจะให้ผลการรักษาดีพอกัน
กรณีผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้อาเจียนมาก หรือมีอาการรุนแรง อาจใช้ยาแบบฉีด สำหรับการรักษาในผู้หญิงตั้งครรภ์หรือเด็ก ไม่สามารถใช้ยากลุ่ม Tetracycline หรือ Choramphenicol อาจให้ยา Azithromycin แทน
การป้องกัน
1. การป้องกันโรคในคน ไม่เข้าไปในพื้นที่ที่สงสัยว่าเป็นที่อยู่ของไรอ่อน หลีกเลี่ยงการเข้าไปสัมผัสแหล่งที่อยู่อาศัยของไรอ่อน เช่น กองฟางในท้องนา ป่า ไร่ สวน ใช้ยาทากันแมลงกัดเมื่อจำเป็นต้องเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง แต่งกายให้รัดกุม เช่น เอาขากางเกงใส่เข้าไปในรองเท้าและใส่เสื้อในกางเกง ใส่รองเท้าบู๊ท ส่วนที่อยู่นอกร่มผ้าให้ทายากันแมลงกัด หลังจากออกจากพื้นที่เสี่ยงให้เปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำชำระร่างกายทันที หลังจากออกพื้นที่เสี่ยงและมีอาการไข้ภายใน 2 อาทิตย์ ให้พบแพทย์ทันที
2. การป้องกันโดยการควบคุมกำกัดสัตว์พาหะและแมลงนำโรค พ่นยากลุ่ม Chlorinated hydrocarbon เช่น Lindane, Dieldrin หรือ Chlordane บนพื้นดินและพุ่มไม้รอบ ๆ ที่พัก และบริเวณที่มีคนอาศัยในถิ่นที่มีการระบาดของโรค การควบคุมและกำจัดหนู (ควรกำจัดตัวไรอ่อนก่อนการกำจัดหนู เพราะหนูเป็นสัตว์รังโรค เมื่อหนูถูกกำจัด ไรอ่อนก็ไม่มีเหยื่อก็จะไม่มากัดคน)
3. การป้องกันโดยการปรับปรุงสภาพแวดล้อม โดยถางหญ้ารอบบริเวณบ้าน เพื่อไม่ให้เป็นที่อาศัยของไรอ่อน และจัดเก็บหรือขุดหลุมฝังขยะให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้หนูมาอาศัยอยู่ในบริเวณบ้าน สำหรับตัวไรอาจใช้สารเคมีพ่นรอบ ๆ บริเวณบ้าน