โรคฮิต คนติดโซเชียลมีเดีย

ที่มา : เว็บไซต์สถาบันสื่อเด็กและเยาวชน


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


โรคฮิต คนติดโซเชียลมีเดีย thaihealth


การติดต่อสื่อสารผ่าน เฟซบุ๊ก ไลน์ ฯลฯ ผ่านสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และโน้ตบุ๊กที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเรา โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน นอกจากความทันสมัย ฉับไวด้านข้อมูลข่าวสาร ยังมีภัยสำหรับคนคลั่งแชทที่อาจเกิดกับคุณอยู่ตอนนี้ก็ได้ ไปดูว่ามีโรคอะไรกันบ้าง


1. โรคเศร้าจากเฟซบุ๊ก การศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกน นำโดยศาสตราจารย์ อีธาน ครอสส์ ได้รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 82 คน ซึ่งใช้บริการเฟซบุ๊กบนสมาร์ทโฟนเป็นประจำ พบว่าการใช้เฟซบุ๊กมากเกินไปอาจกลายเป็นการบั่นทอนความสุขและความพึงพอใจในการดำรงชีวิต เช่น โดดเดี่ยว เศร้า และเหงาหงอยมากขึ้น


ทั้งนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เฟซบุ๊กเป็นเครื่องระบายความรู้สึกมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดความรู้สึกว้าเหว่ สอดคล้องกับงานวิจัยจากเยอรมนี ที่พบว่า 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้เฟซบุ๊ก มีทัศนคติต่อตัวเองในแง่ลบ เนื่องจากเห็นการอัพเดตสถานะของเพื่อน ทั้งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัวที่มีแต่ความสำเร็จและความสุข ใครที่กำลังเริ่มหดหู่ เศร้า ควรเริ่มออกห่างจากเฟซบุ๊ก


2. ละเมอแชท (Sleep-Texting) ถือเป็นโรคใหม่ที่เกิดจากการใช้สมาร์ทโฟนอีกเช่นกัน และโรคนี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะสามารถตามไปหลอกหลอนหรือป่วน แม้กระทั่งตอนที่คุณเข้านอนแล้ว เราสามารถเรียกโรคนี้ ให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า อาการติดแชทแม้ขณะนั้นตัวเองกำลังหลับอยู่


การศึกษาในต่างประเทศพบว่า Sleep-Texting เป็นอาการชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการพิมพ์ข้อความแชทในมือถือของผู้ที่เข้าขั้น "ติด" อาการนี้จะเกิดขึ้นในขณะหลับ และเมื่อได้ยินเสียงข้อความส่งมา ร่างกายและระบบประสาทจะตอบสนองด้วยการหยิบมือถือมาแล้วพิมพ์ข้อความตอบกลับไปในทันที ซึ่งผู้ใช้จะอยู่ในสภาวะ กึ่งหลับกึ่งตื่น เป็นเหตุให้เมื่อตื่นขึ้นมาจะจำอะไรไม่ได้ว่าทำอะไรหรือพิมพ์อะไรไปบ้าง และข้อความนั้นก็เป็นข้อความที่ไม่สามารถจับใจความได้ ปัญหาที่ตามมาก็คือ ร่างกายที่อ่อนแอจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดโรคอ้วน ภาวะซึมเศร้า และอาจส่งผลกระทบในการเรียนหรือ การทำงานด้วย


ด้วยเหตุนี้ หากจะเล่นไลน์ เฟซบุ๊ก วอทแอพ หรือวีแชต ก็ควรทำแต่พอดี แต่หากคุณติดงอมแงมก็ควรตัดใจปิดมือถือ ปิดเสียง หรือปิดสัญญาณ WiFi และ 3G 4G ไปเลยก่อนนอนเพื่อการพักผ่อนที่เต็มที่


3. โรควุ้นในตาเสื่อม สำหรับบางคนอาจจะต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทุกวัน วันละหลาย ๆ ชั่วโมง และบางคนก็จ้องแท็บเล็ต สมาร์ทโฟนไม่วางตาจากการทำงาน เล่นอินเทอร์เน็ต แชท หรือเล่นเกม อาจทำให้เกิดโรควุ้นในตาเสื่อมได้ ทั้งนี้ จากการสำรวจในประเทศไทยพบว่า มีผู้ที่เป็นโรคนี้แล้วกว่า 14 ล้านคน


โรคนี้เกิดขึ้นจากการใช้สายตาที่มากจนเกินไป โดยปกติแล้วในสมัยก่อนโรคนี้ส่วนมากจะพบในผู้สูงอายุ แต่ในปัจจุบัน มีผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มากขึ้น และไม่จำกัดช่วงอายุวัย อาการสำคัญคือเวลามองจะเห็นภาพเป็นคราบดำ ๆ คล้ายหยากไย่ ซึ่งการตรวจสอบจะมองเห็นได้ชัดเจนในที่ที่เป็นพื้นที่สีสว่าง ๆ เช่น ท้องฟ้าขาว ๆ ผนังห้องขาว ๆ ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ จะทำให้เกิดอาการปวดตา และมีปัญหาด้านสายตาในที่สุด


ให้พักสายตาโดยการหลับตา แล้วกรอกตาไปมา ซ้าย ขวา บน ล่าง และหลับให้นิ่งประมาณ 5 นาที อย่าลืมออกไปสูดอากาศผ่อนคลาย และมองดูอะไรเขียว ๆ ซึ่งได้ผลถึง 70% เลยทีเดียว


4) โนโมโฟเบีย (Nomophobia) เป็นโรคหวาดกลัวการไม่มีมือถือใช้ติดต่อสื่อสาร รวมถึงความเครียดเมื่อมือถืออยู่ในจุดอับสัญญาณจนติดต่อใครไม่ได้ Nomophobia มาจากคำว่า "no-mobile-phone phobia" ซึ่งจัดเป็นโรคกลัวทางจิตเวช เพราะมีอาการวิตกกังวลหรือกลัวเกินกว่าปกติ


อาการโดยทั่วไปที่สามารถเช็คได้ง่าย ๆ ว่าคุณเข้าขั้นเป็นโรคนี้หรือเปล่าก็คือ เกิดอาการเครียด วิตกกังวล ตัวสั่น หายใจไม่สะดวก คลื่นไส้เมื่อไม่มีโทรศัพท์ อยู่ในจุดอับสัญญาณ หรือแบตเตอรี่หมด นอกจากนี้ยังแสดงอาการด้วยการหยิบสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต ขึ้นมาเช็คอยู่ตลอดเวลา ติดการส่งข้อความและการโพสต์ข้อความผ่านสังคมออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ ว่างไม่ได้ สเตตัส เช็กอิน โพสต์รูป ฯลฯ ต้องมีให้เห็น ที่สำคัญไม่เคยปิดมือถือเพราะกลัวพลาดการอัพเดทเรื่องราวต่าง ๆ


ในปัจจุบัน จากการสำรวจของทั่วโลกพบว่ามีคนเป็นโรคนี้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะผู้หญิงจะเป็นมากกว่าผู้ชาย วัยรุ่น วัยทำงาน จะเป็นมากกว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ในคนไทยประมาณครึ่งหนึ่งของกลุ่มเยาวชนจะติดมือถือ และชอบเล่นไลน์ หรือเฟซบุ๊ก และถ้าหากเป็นมากก็คงต้องปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษา


5. สมาร์ทโฟนเฟซ (Smartphone face) สมาร์ทโฟนเฟซ หรือโรคใบหน้าสมาร์ทโฟน แต่เป็นโรคที่เกิดจากการก้มลงมองและจ้องไปที่สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตมากจนเกินไป เหตุนี้เองจึงทำให้เกิดการยืดของเส้นใยอิลาสติกบนใบหน้าทำให้แก้มบริเวณกรามเกิดการย้อยลงมา ส่วนกล้ามเนื้อบริเวณมุมปากจะตกไปทางคาง


ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะการนั่งก้มหน้ามองสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดการเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณคอและเพิ่มแรงกดบริเวณแก้ม จึงทำให้เกิดอาการดังกล่าวขึ้นมา และจะเห็นชัดเจนเมื่อถ่ายภาพด้วยตัวเอง


วิธีแก้อาการติดโซเชียลมีเดีย


1. ยอมรับว่าตัวเองติดซะก่อน ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนที่ต้องคอยเข้าเว็บพวกนี้ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง รู้ตัวไว้เถอะว่าคุณติดโซเชียลมีเดียเข้าซะแล้ว


2. จำกัดเวลาเล่น จะเล่นวันละกี่ชั่วโมงก็ว่าไป โดยค่อย ๆ ลดลงมาเรื่อย ๆ ตามความเหมาะสมเพียงเท่านี้ก็จะไม่ติดอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือทั้งวันอย่างเมื่อก่อนแล้วล่ะ


3. หางานอดิเรกใหม่ ๆ ทำ เพื่อเบนความสนใจของตัวเองเสียหน่อย ก็ควรมองหางานอดิเรกใหม่ ๆ ออกกำลังกาย ทำสวน อ่านหนังสือ อาจช่วยให้คุณเพลินจนลืมท่องโซเชียลมีเดียไปเลยก็ได้


4. อย่าจดจ่อมากนัก


เห็นได้ว่า โซเชียลมีเดียเปรียบเสมือนกับดาบสองคม หากคุณไม่จำกัดการเล่นให้เหมาะสม หรือหมกมุ่นกับมันมากเกินไป คุณก็จะทุกข์ใจมากกว่ามีความสุข นอกจากจะจำกัดการเล่นแล้ว คุณก็อย่าลืมหันมาสนใจคนในชีวิตจริงบ้าง

Shares:
QR Code :
QR Code