โจทย์เรื่องความปลอดภัย ไม่ง่ายอย่างที่คิด

ควรปลูกฝังตั้งแต่เด็กๆ กำหนดเป็นหลักสูตรการศึกษา

โจทย์เรื่องความปลอดภัย ไม่ง่ายอย่างที่คิด 

          ต้องยอมรับว่า ทุกเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์ ถือเป็นงานใหญ่ของศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนน ที่จะต้องประสานและระดมทรัพยากรจากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนได้เดินทางกลับบ้านไปพบปะสังสรรค์ อวยพรกันในหมู่เพื่อนฝูงญาติมิตรได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย

 

          โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยซึ่งถูกเน้นเป็นพิเศษ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน(ศวปถ.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ได้ร่วมกำหนดเป้าหมายในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ลดการเสียชีวิตลงให้ได้ ร้อยละ 5 มีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ ระดมคนเพื่อตั้งจุดตรวจถึง2,800 กว่าจุด มีอาสาสมัครเข้ามาร่วมดำเนินการกว่า70,000 คนทั่วประเทศ สามารถมีการเรียกยานพาหนะตรวจได้ถึง 4,587,332 คัน ในจำนวนนี้ถูกดำเนินคดีไปถึง 449,673 ราย

 

          แม้ผลของการดำเนินงานจะช่วยให้ยอดผู้เสียชีวิตลดลงได้ตามเป้าหมายที่กำหนด (ลดลงร้อยละ5.45) แต่ถ้าพิจารณาถึงจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตแล้ว ยังถือว่าน่าตกใจ ถ้าไม่นับภัยพิบัติครั้งใหญ่จากธรรมชาติ เช่น สึนามิแล้ว อุบัติเหตุทางถนนถือเป็นภัยที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับหนึ่ง ในช่วงเวลาเพียงแค่7 วัน ต้องมีคนตายมากถึง 347 ศพ (เฉลี่ยวันละ 50 ศพ) บาดเจ็บรุนแรงถึง 3,827 คน และร้อยละ 5-10 ของผู้บาดเจ็บกลุ่มนี้จะมีความพิการทุพพลภาพ ยังไม่นับรวมกรณีที่เป็นข่าวว่ามีบางจังหวัดไม่ได้รายงานตามจริงจนเมื่อนักข่าวไปตรวจสอบถึงงานศพของผู้เสียชีวิตเป็นเหตุให้ต้องปรับตัวเลขกันยกใหญ่

 

          นอกจากนี้ เมื่อคิดเป็นมูลค่าความสูญเสียโดยคำนวณตามการศึกษาในปี 2549 ของกรมทางหลวงจะพบว่าความสูญเสียจากอุบัติเหตุในเทศกาลปีใหม่ มีมูลค่าเป็นตัวเงินถึง 6 พันล้านบาท (เกือบจะเท่ากับตัวเลขประมาณการเงินสะพัดในช่วงเทศกาล) และถ้ารวมยอดการเสียชีวิตตลอดทั้งปีจะสูงถึง 12,000 ศพ (หรือวันละ 33 ศพ) เป็นมูลค่าความสูญเสียปีละ2.3 แสนล้านบาท (ร้อยละ 2.8 ของ จีดีพี)

 

          หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า แม้หน่วยงานต่าง ๆจะมีบทเรียนมากว่า 4-5 ปี มีการทบทวนและจัดเตรียมมาตรการต่าง ๆ ลงไปทุกรูปแบบ แต่เรายังพบว่าแบบแผนหรือลักษณะของการเกิดอุบัติเหตุ การบาดเจ็บและเสียชีวิตในช่วงเทศกาล ยังคงออกมาในรูปแบบเดิม ดังจะเห็นได้จากเมาแล้วขับยังคงเป็นสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุ

 

          นอกจากนี้ เมื่อเจาะลึกในกลุ่มผู้ที่เสียชีวิตโดยใช้ข้อมูลของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ(ศูนย์นเรนทร) จะพบว่า เกือบครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 46.7)ของผู้เสียชีวิตมีความสัมพันธ์กับการดื่มสุรา น่ากังวลไปกว่านั้นคือ ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 18.6) ของผู้เสียชีวิตที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ เป็นกลุ่มอายุ 16-20 ปี และที่สำคัญอีกประการคือ มีอยู่ถึงร้อยละ 6.6 ที่อายุน้อยกว่า 15

 

          ปี ทั้ง ๆ ที่กลุ่มนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ขับขี่ตามกฎหมายในส่วนของผู้ขับรถยนต์ที่เสียชีวิต พบว่าร้อยละ 74 ไม่

 

          คาดเข็มขัดนิรภัยซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยรักษาชีวิต

 

          มีข้อเสนอแนะว่าทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุ ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันตั้งโจทย์และหาทางแก้ในเชิงระบบ ดังตัวอย่าง

 

          เช่น เมื่อพิสูจน์ได้ว่ารถสาธารณะที่เกิดอุบัติเหตุ เกิดจากอุปกรณ์ชำรุดเสื่อมสภาพมาวิ่งรับผู้โดยสาร ต้องมีกลไกจัดการไปยังผู้ประกอบการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดูแลเรื่องนี้ เช่นเดียวกับระบบเครื่องบิน รถไฟ

 

          ส่งเสริมบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้ามาแก้ปัญหา ไม่เฉพาะช่วงเทศกาล เนื่องจากบทเรียนได้สอนเราว่าการโหมรณรงค์เพียงเทศกาลไม่เพียงพออีกต่อไป ศักยภาพของท้องถิ่นถ้าได้เข้ามาเป็นเจ้าภาพ ตั้งแต่การส่งเสริมวินัยจราจรในชุมชน

 

          ที่สำคัญในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ คือ การรณรงค์และส่งเสริมให้เกิดจิตสำนึกความปลอดภัยในระยะยาวคือการปลูกฝังตั้งแต่เด็ก ๆ โดยกำหนดเป็นหลักสูตรในเรื่องความปลอดภัยในสถานศึกษาเพราะทุกวันนี้ เด็ก ๆ ของเราได้เรียนรู้วิชาต่าง ๆมากมาย แต่กลับขาดการเรียนรู้ในเรื่องความปลอดภัยกับชีวิตของตัวเอง.

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

Update:18-01-53

อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

Shares:
QR Code :
QR Code