“โฆษณาแฝง” ใครคือผู้ได้รับผลประโยชน์?

หวั่นส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมเด็ก

 “โฆษณาแฝง” ใครคือผู้ได้รับผลประโยชน์?

      เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เครือข่ายขับเคลื่อนสภาองค์กรผู้บริโภคด้านสื่อ ร่วมกับเครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อ เครือข่ายสื่อเด็กและเยาวชน และเครือข่ายนักวิชาการด้านสื่อ โดยการสนับสนุนจากแผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ได้จัดเวทีเสวนาเรื่อง เรียนรู้เท่าทันสื่อ…โฆษณาแฝงในรายการโทรทัศน์

 

      โดยนายธาม เชื้อสถาปนศิริ ผู้จัดการกลุ่มงานวิชาการ มีเดียมอนิเตอร์ กล่าวถึงผลสำรวจของเครือข่ายครอบครัวฯว่ามี ประชาชนมากถึง 97% คิดว่าโฆษณาแฝงในเนื้อหารายการโทรทัศน์หวังผลประโยชน์ทางธุรกิจ และ 86.2% ยอมรับว่าโฆษณาแฝงเป็นปัญหาและคิดว่าควรเปิดเผยข้อมูลรายได้จากโฆษณาแฝงและการตรวจสอบทางการเงิน ตลอดจนระบบการเสียภาษีให้หน่วยงานรัฐ นอกจากนั้นยังพบอีกว่าประชาชนกว่า 72% ไม่เห็นด้วยกับ (ร่าง) แนวทางการปรากฏของสินค้าและบริการในรายการโทรทัศน์ และเกือบ 2 ใน 3 หรือ 65.1% คิดว่าโฆษณาแฝงในรายการโทรทัศน์ต่างรุกล้ำสิทธิของผู้บริโภค

 

      นายธาม กล่าวต่อว่า จากพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 มาตรา 23 ให้สถานีวิทยุโทรทัศน์ที่ใช้คลื่นความถี่ โฆษณาได้ไม่เกินชั่วโมงละสิบสองนาทีครึ่ง โดยเมื่อรวมเวลาการโฆษณาตลอดทั้งวันเฉลี่ยแล้วต้องไม่เกินชั่วโมงละสิบนาที นั้น เนื่องจากพฤติกรรมการรับชมของคนไทยเปลี่ยนไป ซึ่งมีตัวแปรสำคัญคือรีโมร์ททำให้ผู้ชมสามารถเปลี่ยนช่องได้ทันทีหากไม่ต้องการดูโฆษณา ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์จึงนำวิธีเอาสินค้าเข้าไปในรายการเพื่อให้ผู้ชมเกิดการรับรู้ และปัจจุบันนอกจากโฆษณาคั่นรายการแล้ว ยังพบโฆษณาแฝงในแทบทุกรายการไม่ว่าจะเป็นข่าว เกมส์โชว์ สารคดี หรือละครซิทคอม ซึ่งวิธีการแฝงโฆษณาส่วนใหญ่มี 5 รูปแบบ ได้แก่ 1.แฝงกับภาพกราฟฟิก 2.แฝงกับสปอตสั้น 3.แฝงกับวัตถุ 4.แฝงกับบุคคล 5.แฝงกับเนื้อหา

 

      “โฆษณาแฝงนอกจากจะละเมิดพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แล้ว ยังรุกล้ำสิทธิมนุษยชน และละเมิดข้อจริยธรรมที่ทำลายอรรถรสในการรับชมรายการโทรทัศน์ของประชาชน ซึ่งผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ก็ควรรับฟังและมองการแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างยุติธรรมไม่ใช่เอาแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวเพียงอย่างเดียว นายธาม กล่าว

 

      แพทย์หญิงพรรณพิมล หล่อตระกูล ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล กล่าวว่า การปล่อยให้เด็กรับชมโทรทัศน์มากเกินไปเป็นการเพิ่มความถี่ในการเห็นภาพที่แสดงความรุนแรง การใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอื่น ๆ ซึ่งถ้าปล่อยให้เด็กดูโทรทัศน์อย่างไม่มีวันสิ้นสุดมันจะส่งผลกระทบต่อกิจวัตรประจำวันทำให้เด็กมีการอ่านหนังสือน้อยลง มีผลต่อระบบความคิด และการตัดสินใจ ซึ่งผู้ปกครองควรมีการชี้แนะและหากิจกรรมทำร่วมกันในครอบครัว เพื่อให้เด็กไม่รับชมโทรทัศน์มากเกินไปนั้นเอง

 

      ด้านนางอัญญาอร พานิชพึ่งรัถ ประธานเครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อ กล่าวว่า จากการสำรวจความคิดเห็นของเด็ก เยาวชน ผู้ปกครอง และนักวิชาการด้านสื่อ ได้มีการเสนอแนะทางออกต่อการแก้ปัญหานี้มา 4 แนวทาง ได้แก่ 1.การออกกฎหมายบังคับใช้ ซึ่งรัฐต้องทำให้ประชาชนรับรู้ และวางกรอบเพื่อลดการโฆษณาแฝงให้มีน้อยที่สุดหรือไม่มีเลย 2.ผู้ผลิตหรือเจ้าของธุรกิจควรมีจริยธรรม และสำนึกถึงความรับผิดชอบต่อสังคม 3.ปัญหาและผลกระทบที่เกิดกับผู้บริโภค หน่วยงานรัฐ สถาบันการศึกษา หรือองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคควรอธิบายถึงผลกระทบของโฆษณาแฝงต่อผู้บริโภค รวมทั้งให้ความรู้เท่าทันเรื่องสื่อแก่เด็กและเยาวชน เพราะเด็กส่วนมากไม่สามารถแบ่งแยกได้ว่าส่วนไหนคือโฆษณาหรือเนื้อหา 4.ต้องมีการแก้ไขอย่างมีส่วนร่วม และควรมีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นในวงกว้าง

 

 

 

 

 

ข่าวโดย: วชิราภรณ์ ฤทธิ์สมบูรณ์ team content www.thaihealth.or.th

 

 

update: 11-12-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: วชิราภรณ์ ฤทธิ์สมบูรณ์  

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code