‘แปรรูปข้าว’ พอกินพอใช้แบบคนถือเคียว
เมื่อกระดูกสันหลังของชาติต้องประสบกับปัญหาราคาข้าวตกต่ำการเปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่นคงไม่ใช่คำตอบที่ง่ายนัก วันนี้จึงทำให้พวกเขาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินได้อย่างภาคภูมิ
เมื่อกระดูกสันหลังของชาติต้องประสบกับปัญหาราคาข้าวตกต่ำ และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ รุมเร้า การเปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่นคงไม่ใช่คำตอบที่ง่ายนัก แต่ก็ยังมี กลุ่มธารทิพย์ ข้าวกล้องและผลิตภัณฑ์ รวมกลุ่มเพื่อแปรรูปข้าว ที่ทั้งปลอดสาร และลดต้นทุนการผลิต วันนี้จึงทำให้พวกเขาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินได้อย่างภาคภูมิ
สำรวย ศรีเกษม ประธานกลุ่มวิสาหกิจกลุ่มธารทิพย์ ข้าวกล้องและผลิตภัณฑ์ ต.บ้านซ่อง อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ศูนย์เรียนรู้อีกแห่งหนึ่งของสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) บอกเล่าถึงความเป็นมาของกลุ่มนั้นเกิดขึ้นจากราคาข้าวที่ตกต่ำ จะหันไปอย่างอื่นก็ไม่รู้จะทำอะไรเพราะเคยแต่ทำนา เลยรวมตัวกันตั้งกลุ่มนำข้าวมาร่วมกันแปรรูปขาย เริ่มทำเมื่อปี 2539 แต่ก่อนพ่อค้าคนกลางเขามาตีราคา เราเลยคิดว่าทำยังไงเพื่อให้เราได้เป็นคนตั้งราคาบ้าง ขายในชุมชน ขายในราคาของเราเอง ให้กลุ่มแข็งแรงขึ้น นอกการแปรรูปข้าวขายแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งในการตั้งกลุ่มคือเพื่อให้สมาชิกในกลุ่มมีความสัมพันธ์กัน มีข้าวก็นำมาร่วมกันขาย เธออธิบาย
เมื่อคิดหนทางที่พาตัวเอง และชาวบ้านอยู่รอดได้จึงมีการแปรรูปข้าวจากขายข้าวเปลือกมาเป็นสีข้าวสารขาย เมื่อมีรำ มีปลายข้าว แกลบส่วนต่างๆ ก็นำไปขาย แยกชิ้นส่วนหมด จากนั้นก็มีคิดต่อว่าแยกแล้วแต่ละส่วนสามารถทำอะไรได้บ้าง
ปลายข้าว เหลือก็ทำข้าวคั่วสมุนไพร อบแห้งมาบดป่นสำเร็จ พร้อมเทใส่ลาบได้เลย ฉีกซองใส่เนื้อสัตว์เติมผักสดก็เป็นลาบแล้ว เพราะเราปรุงเครื่องสมุนไพรไว้ในนั้นให้เสร็จสรรพ ขายซองละ 10 บาท 20 กรัม ส่วนรำนั้น ได้แนวคิดจากการไปขายของที่เมืองทอง ลูกค้าจะเอาปลอกข้าว ปลอกข้าวพร้อมจมูกข้าว เอาไปชงแล้วจะออกหวาน เรียกปลอกข้าว หรือไปทำเค้ก ไปทอดไข่ มันจะออกรสชาติหวาน รำกิโลกรัมละ 10 บาท ถ้าแยกส่วนให้ละเอียดอย่างนี้ ขีดละ 10-20 บาท เพียงแต่ร่อนให้ละเอียดและแยกส่วนราคาก็เพิ่มขึ้น นอกจากนั้นปลอกข้าวยังสามารถนำมาทำน้ำมันรำข้าวได้ด้วย ตรงนี้เราก็ต้องเอามาร่อนให้มันละเอียด แถวชลบุรีเขาจะทำเค้กข้าวกล้องเขาก็จะมารับซื้อไป
จากการเปลี่ยนวิถีการทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทำให้สมาชิกจากเดิม 5 คนกลายเป็น 25 คนและมีเงินหมุนเวียนภายในกลุ่มเงินออม 300,000 บาท เงินกู้ก็ประมาณ 2 ล้านบาท ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในกลุ่มดีขึ้น มีเงินพอใช้จ่าย ส่งออก ทำให้ทุกคนในกลุ่มลืมตาอ้าปากได้
เราไม่ได้เน้นกำไรมากมาย เน้นสุขภาพของคนมากกว่าการที่จะไปรักษาตัวเอง ทำยังไงก็ได้ให้ชีวิตคนอยู่กับธรรมชาติได้ ต้นทุนก็จะลดลง ปกติชาวนาใช้ปุ๋ยสารเคมีพ่อค้าแหละที่จะมีรายได้จากชาวนา การที่เรารวมกลุ่มขึ้นมา เกษตรกรก็จะมีทางเลือก เรามีโรงสีเอง แล้วแปรรูปขายเอง พอทำมา 5-6 เดือนก็คิดว่าทางรอดของชาวบ้านมีเยอะ
จนกระทั้งวันนี้ สำรวย และสมาชิกกลุ่มก็ยังไม่ได้หยุดคิดเพราะพวกเขาต่างช่วยกันคิดว่าจะทำผลิตภัณฑ์อะไรจากข้าวออกมาขาย คิดว่าสินค้าตัวไหนทำจากวัสดุตัวไหน มันเป็นเรื่องที่เขาคิดกันมาท้าทาย
บอกว่า ทุกวันนี้เราพยายามทำให้คนในชุมชนทำนาแบบไม่ใส่สารเคมี หรือฉีดยาฆ่าหญ้า อยากให้คนทำนาทุกคนทำตามวิถีชีวิตในชุมชนที่เคยมี แล้วพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพ ภาพชาวหน้าหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินก็จะยิ้มได้อย่างภาคภูมิ
คนทำนาถ้ามาคิดแบบใช้ยาแล้วก็สงสารคนกิน เราจ้องแต่จะขาย เราฆ่าตั้งแต่หญ้าก่อนที่จะทำแปลงนา หว่านข้าวก็มีเคมีไปรองพื้นอีก มันก็ดูดขึ้นมาที่ต้นข้าว พอออกรวงก็มียาฉีดหนอน มันเก็บสารเคมีเข้าไปทุกอณูของเม็ดข้าวมันก็เติมเต็มไปจากราก จากใบ จากรวง ทีนี้มันก็สะสมในเม็ดข้าว อย่างน้อยเราผลิตไม่ใช้เคมีได้ช่วยเขาสัก 10 เปอร์เซ็นต์คนในประเทศก็พอแล้ว
นี่คือเหตุผลที่ สำรวย ตั้งกลุ่มโดยใช้ชื่อตราผลิตภัณฑ์ว่า ธารทิพย์ คำว่าธารมาจากลำธารน้ำที่ในหมู่บ้านใช้ปลูกข้าวกัน ทิพย์เป็นของวิเศษ เลยได้คำว่า ธารทิพย์คือ น้ำในธารผลิตอาหารที่เป็นของวิเศษนั่นก็คือเม็ดข้าวที่ปลอดสารและช่วยด้านชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนให้อยู่รอดได้
ชาวนาไม่ได้ขออะไรมาก มีรายได้ พอกินพอใช้ ไม่ได้ร่ำรวย เพราะแค่ให้พอกินพอใช้ก็อยู่ได้แล้ว
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ