แนะใช้ ‘5 ต.’ สอนลูกเสพข่าวการเมือง

ให้ลูกเรียนรู้อย่างปลอดภัย

 

          ผู้เชี่ยวชาญแนะพ่อแม่สอนลูกเรียนรู้ “การเมือง” อย่างปลอดภัยระบุพ่อแม่ที่มีลูกอยู่เด็กวัยอนุบาลต้องรู้จักวางตัวเป็นกลางเพราะลูกจะเลียนแบบขณะที่เด็กวัยประถมต้องให้ความคิดที่ถูกต้องเรื่องการใช้ความรุนแรง ส่วนเด็กมัธยมฯขึ้นไปพ่อแม่ต้องแนะ “5 ต.” ฝังจิตสำนึกให้ถูกต้อง

 

          สถานการณ์การเมืองที่ร้อนแรงอย่างต่อเนื่องมาตลอด 3 ปีที่ผ่านนั้นทำให้คอการเมืองต่างติดตามข่าวสารการเมืองกันอย่างต่อเนื่องและการเสพข่าวการเมืองในยุคเลือกข้างที่มีแนวโน้มนำไปสู่ความรุนแรงได้ตลอดเวลานั้นพ่อแม่จะต้องเรียนรู้วิธีการเสพข่าวอย่างไร ที่จะไม่ไปทำร้ายหรือสร้างพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ผิดๆ ให้กับลูกๆด้วยขณะเดียวกันจะต้องมีเคล็ดลับในการสอนลูกแต่ละวัยให้เหมาะสมเพื่อให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีวิจารณญาณด้วยเหตุและผลปราศจากอารมณ์เข้ามาครอบงำ ที่อาจส่งผลเสียพฤติกรรมเด็กในอนาคตได้สอนลูกให้รู้การเมืองอย่างถูกต้อง

 

          ในทุกๆ เช้าเป็นช่วงเวลาที่คอการเมืองต้องเสพข่าวกันอยู่เป็นประจำดังนั้นช่วงเวลานี้ก่อนไปโรงเรียนเด็กๆ ในบ้านก็ต้องจำเป็นอยู่ในภาวการณ์เช่นเดียวกัน พ่อแม่ซึ่งถือเป็นเป้าหลอมหรือเป็นแบบอย่างแก่ลูก จึงไม่น่าจะปล่อยผ่านช่วงเวลานี้ไปโดยไม่สนใจว่าลูกๆ ที่ต้องดูต้องเสพข่าวด้วยความบังเอิญหรือความตั้งใจ จะได้รับประโยชน์หรือโทษจากการเสพข่าวนี้หรือไม่

 

          อาจารย์ ชญานุช ลักษณวิจารณ์ หัวหน้าภาคจิตวิทยามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองที่ร้อนแรงและยังไม่มีวี่แววว่าจะออกหัวหรือออกก้อยเช่นนี้ทำให้คนในสังคมส่วนใหญ่ติดตามข้อมูลข่าวสารการเมืองกันอย่างต่อเนื่อง บางคนถึงขั้น “ติด” เสพข่าวการเมืองชนิดที่ไม่ได้อ่านข่าว ไม่ได้ดูทีวีแล้วเหมือนขาดอะไรไปกันทีเดียว

 

          ผลพวงจากพฤติกรรมเช่นนี้อาจจะลุกลามไปยังการบริโภคข่าวสารของเด็กๆซึ่งอาจจะเข้ามาเสพข่าวด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามฉะนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีลูกอยู่ในวันตั้งแต่อนุบาลจนถึงชั้นประถมศึกษาต้องให้ความใส่ใจอย่างจริงจังในการเสพข่าวของลูกๆ ด้วยเพราะพฤติกรรมการเลียนแบบของเด็กๆ ที่จะเกิดขึ้นนั้นจะมีผลต่อทัศนคติ ความคิดและการใช้ชีวิตในสังคมของพวกเขาไปด้วย

 

          ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับคนที่มีลูกๆ อยู่ในช่วงดังกล่าวนั้นคือพยายามอย่าให้ลูกๆ เสพข่าวประเภทนี้มากนัก หรือหากเด็กมีความสนใจด้วยตัวเขาเองพ่อแม่จะต้องทำตัวเองให้เป็น “ครู” ผู้ที่มีความเที่ยงธรรม คือจะต้องวางตัวเป็น กลางชี้แนะว่าพฤติกรรมที่ลูกๆ เห็นในสื่อต่างๆ ว่าอันไหนควรจะทำ หรืออันไหนควรหลีกเลี่ยงโดยเฉพาะข่าวที่เน้นให้เห็นถึงการใช้ความรุนแรงนั้นพ่อแม่จะต้องคอยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด

 

          สำหรับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 3-6 ขวบนั้นทางที่ดีที่สุดพ่อแม่อย่าให้เด็กเสพข่าวการเมืองจะดีที่สุดและควรหากิจกรรมที่เหมาะสมกับวัยให้เขาได้ทำจะดีกว่าเพราะช่วงนี้จะมีพฤติกรรมการเลียนแบบเขาจะทำตามพฤติกรรมของพ่อแม่ทุกๆ อย่างและยังเป็นวัยที่อยู่ในช่วงจดจำด้วยการใช้คำพูดที่หยาบคาย รุนแรงจะถูกปลูกฝังกับเขาได้

 

          “พ่อแม่หลายคู่ที่มีลูกช่างซักช่างถามซึ่งคำถามส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากความสนใจใคร่รู้ตามประสาเด็ก บางครั้งบางคำถามพ่อแม่ก็อาจจะยังไม่ทราบคำตอบ ฉะนั้นพ่อแม่ต้องบอกกับลูกว่าจะไปหาคำตอบมาให้ หรือชักชวนให้ลูกมาช่วยกันคิดว่า คำตอบน่าจะเป็นเช่นไร เป็นการฝึกให้เด็กได้รู้จักคิดหาเหตุผล พ่อแม่ไม่ควรใช้อารมณ์หรือแสดงความรำคาญกับปัญหาที่เด็กถาม เพราะจะทำให้เด็กขาดความมั่นใจและไม่กล้าแสดงออกไม่กล้าที่จะถามอีก”

 

          ส่วนเด็กในวัยประถมศึกษาซึ่งมีพัฒนาการทางด้านสติปัญญา มีการพัฒนาความคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลมากยิ่งขึ้น ซึ่งประยุกต์มาจากการสังเกตสถานการณ์จริง ซึ่งอาจจะมีเด็กๆ บางส่วนที่สนใจในเรื่องการเมืองพ่อแม่จึงไม่ควรปล่อยให้เขาเสพข่าวการเมืองข่าวที่มีความรุนแรงตามลำพังพ่อแม่ต้องคอยกำกับดูแลแนะนำสิ่งที่ถูกต้องและควรปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม การละเว้นความชั่ว ใส่ข้อมูลความดีด้วยใจเป็นกลางซึ่งเด็กๆจะได้รับข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเองอย่างถูกต้องแนะนำ 5 ต.ไว้สอนลูก

 

          แม้ประเทศไทยจะเคยเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงมาแล้วหลายครั้งแต่ช่วงที่ผ่านมานั้นการสื่อสารด้านการข่าวยังไม่สะดวกและรวดเร็วเหมือนปัจจุบันเด็กที่จะเสพข่าวทางการเมืองจึงมีน้อยแต่ขณะนี้ปรากฏว่าการสื่อสารทุกๆช่องทางที่รายล้อมตัวเด็กๆ อยู่นั้น 50% มักจะนำเสนอเหตุบ้านการเมืองเข้าไปด้วย ทำให้เด็กๆบางส่วนไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองจึงไม่ควรจะมองข้ามกับปัญหานี้

แนะใช้ ‘5 ต.’ สอนลูกเสพข่าวการเมือง

 

          นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ บอกว่า เด็กที่เสพข่าวการเมืองหรือการชุมนุมการเห็นภาพรุนแรงนั้นจะได้รับผลกระทบโดยตรงกับเด็ก ผู้ปกครองจำเป็นต้องควบคุมดูแลการชมโทรทัศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กเล็กซึ่งเขาจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไรและเกิดความกลัวในที่สุด ส่งผลกระทบที่สังเกตได้คือเด็กเลี้ยงยากขึ้น กินยากนอนยากส่วนผลกระทบจิตใจอาจส่งผลในระยะยาวโดยเฉพาะเด็กที่ได้รับผลกระทบโดยตรงที่เห็นเหตุการณ์ผู้ปกครองที่พาบุตรหลานไปซึ่งมีอารมณ์ร่วมกับเหตุการณ์อยู่แล้วอาจไม่ทันได้ดูแลและระวัง ในการให้เด็กได้รับรู้ความรุนแรง หรือ ฟังคำพูดที่หยาบคายซึ่งพ่อแม่จำเป็นต้องใช้วิจารณญาณและไม่ควรปลูกฝังความเกลียดให้กับเด็กแต่ควรอธิบายเหตุผลเพื่อสร้างความฉลาดทางอารมณ์

 

          อย่างไรก็ตามพ่อแม่ผู้ปกครองที่เสพข่าวการเมืองเป็นประจำควรนำ หลัก 5 ต. เข้ามาใช้กับตัวเองเพื่อให้เด็กได้นำเรามาเป็นแบบอย่างดังนี้

 

          1.”แตกต่าง” แต่ไม่ “แตกแยก” โดยเคารพความคิดแบบประชาธิปไตยเมื่อเราจะสอนลูกเราจะต้องมีความรู้และเข้าใจปัญหาต่างๆ ได้อย่างถ่องแท้เสียก่อนควรอธิบายแก่ลูกให้เข้าใจถึงระบอบการเมืองอย่างถูกต้อง

 

          2.”ติดตาม” ข่าวสารแต่อย่าให้ลูก “ติดใจ” อย่าผูกติดกับคนที่เราชอบจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน รู้จักปล่อยวาง ไม่ติดใจ

 

          3.”ไตร่ตรอง” ข้อมูลแต่อย่า “ตรม” เพื่อวางใจเป็นกลางการคิดแบบไตร่ตรองเป็นเรื่องที่ดี

 

          4.”ตระหนัก” แต่ไม่ “ตระหนก” ควรคิดในแง่มุมที่ดี เตรียมตัวตระหนักถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น แล้วค่อยๆ จัดการในส่วนตัวของตนตั้งแต่วันนี้ และ

 

          5.”ตื่นตัว” แต่ไม่ “ตื่นตูม” ผู้ที่เสพข่าวการเมืองมากๆส่วนใหญ่มักจะได้รับรู้ทั้งข่าวจริงข่าวลวงอยู่เสมอฉะนั้นการทำตัวไม่ตื่นตูมกับเหตุการณ์ต่างๆนั้นจะช่วยให้มีสติซึ่งถือว่าเป็นการสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ให้ลูกได้เห็นเขาก็จะได้นำไปเป็นแบบอย่างในอนาคตด้วย

 

          “ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดีที่สุดที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะใช้”สื่อ” ในการสอนลูกๆ ให้เข้าใจกับสภาพการเมืองที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่พ่อแม่จะต้องไม่แสดงพฤติกรรมโอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ต้องวางตัวเป็นกลางและหลังการดูรายการโทรทัศน์ที่เกี่ยวข้องแล้วพ่อแม่จะต้องชี้แจงแสดงความคิดเห็นที่เป็นกลาง แนะให้ลูกได้เห็นว่าข่าวที่ออกมานั้นดีอย่างไรไม่ดีอย่างไร”

 

          อย่างไรก็ดี สิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อแม่ควรจะทำคือควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกเข้ามาเกี่ยวข้องกับภาพหรือข่าวที่สื่อให้เห็นความรุนแรงจะดีที่สุดเพราะอย่างไรเสียเด็กก็ยังไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้เหมือนกับผู้ใหญ่

 

 

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์

 

 

update 22-03-53

 

อัพเดทเนื้อหาโดย : วีระ วานิชเจริญธรรม

Shares:
QR Code :
QR Code