แนะเก็บภาษีอาหารเครื่องดื่ม แก้วิกฤต’โรคอ้วน’

สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเวทีรับฟังความเห็นสาธารณะต่อแนวทางการใช้มาตรการทางภาษีของอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทย ที่โรงแรมริชมอนด์ ทพญ.จันทนา อึ้งชูศักดิ์ ผู้จัดการแผนงานรณรงค์เพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนของประเทศไทยนับวันจะทวีความรุนแรง จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2552 พบว่า ในเวลา 3 ปีจากปี 2547-2550 เด็กอายุ 6-14 ปี มีความถี่ในการบริโภคเครื่องดื่มรสหวานเพิ่มขึ้น 1.8 เท่า และขนมกรุบกรอบที่มีไขมันสูงเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า 

นักวิชาการแนะเก็บภาษีอาหารเครื่องดื่ม แก้วิกฤต'โรคอ้วน'สรรพสามิตชี้ทำยาก

ทพญ.จันทนา กล่าวอีกว่า การจัดเก็บภาษีในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มที่ให้พลังงานสูงแต่มีคุณค่าทางโภชนาการต่ำเป็นมาตรการที่องค์การอนามัยโลก (who) ระบุว่ามีความคุ้มค่าสูงในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของประชาชน ปัจจุบันหลายประเทศได้เริ่มจัดเก็บและขยายภาษีในอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบทางสุขภาพ อาทิ ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป 27 ประเทศ สำหรับประเทศไทยมีกฎหมายหลักฉบับเดียวที่เกี่ยวข้องกับระบบภาษีอาหาร คือ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 ซึ่งเก็บเฉพาะเครื่องดื่มบางรายการและอัตราภาษีไม่สูง รวมทั้งไม่ครอบคลุมเครื่องดื่มหลายประเภทที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ดังนั้นแนวทางที่เป็นไปได้คือ เริ่มจากกฎหมายที่มีอยู่โดยการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตในเครื่องดื่มรสหวาน ก่อนขยายไปยังอาหารประเภทอื่น 

น.ส.สิรินทร์ยา พูลเกิดนักวิจัยสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการศึกษาในต่างประเทศพบว่าแรงจูงใจด้านราคาเป็นปัจจัยสำคัญต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหาร หลายประเทศจึงใช้มาตรการทางภาษีในอาหารและเครื่องดื่มเพื่อปกป้องสุขภาพประชาชน โดยอาหารและเครื่องดื่มที่ถูกเก็บภาษี ได้แก่ กลุ่มขนมขบเคี้ยว ขนมหวาน น้ำอัดลม และเครื่องดื่มรสหวานอื่นๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีผลต่อการเพิ่มน้ำหนักตัวสูง มีผลการวิจัยของสหรัฐอเมริกา คาดการณ์ว่าหากเก็บภาษีในเครื่องดื่มเหล่านี้ร้อยละ 10 จะทำให้การดื่มลดลง 23 ลิตรต่อคนต่อปี หรือส่งผลให้น้ำหนักตัวผู้บริโภคลดลง 1.4 กิโลกรัม นอกจากนี้ ในต่อคนต่อปี หรือส่งผลให้น้ำหนักตัวผู้บริโภคลดลง 1.4 กิโลกรัม นอกจากนี้ ในประเทศอังกฤษ มีข้อมูลวิชาการระบุว่าหากเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้อยละ 17.5 ในอาหารกลุ่มไขมันอิ่มตัวสูง จะช่วยลดการตายจากโรคหัวใจขาดเลือดได้ถึง 1,800-2,500 คนต่อปี

“หากเปรียบเทียบราคาที่แท้จริงของน้ำอัดลมและอาหารจานด่วนในไทย เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อ จะพบว่าราคาของสินค้าเหล่านี้เพิ่มขึ้นน้อยกว่าการเพิ่มรายได้ หรือกล่าวได้ว่ามีราคาถูกลง รัฐบาลควรหันมาใช้มาตรการภาษีอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้ ซึ่งนอกจากจะปกป้องสุขภาพประชาชนได้ผลแล้ว รัฐบาลเกือบไม่ต้องลงทุนใดๆ”น.ส.สิรินทร์ยากล่าว

ด้าน ดร.บัญชร ส่งสัมพันธ์ กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง กล่าวว่า กรมสรรพสามิตจัดประเภทเครื่องดื่มน้ำอัดลมในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย เก็บภาษีในอัตราร้อยละ 20 สร้างรายได้ให้ประเทศ ร้อยละ65 ของสินค้าฟุ่มเฟือยทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าการขึ้นภาษีไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแม้แต่ในสหรัฐยังพบว่าบางรัฐต้องมีการยกเลิกภาษีดังกล่าวหรือลดอัตราภาษี เนื่องจากประชาชนไม่ยอมรับ รวมทั้งมีปัญหาเรื่องการย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น ซึ่งเกิดผลเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวม

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

Shares:
QR Code :
QR Code