แนะวิธีปันความสุขอันยั่งยืน แด่น้องน้อยผู้ด้อยโอกาส

ในช่วงเทศกาลวันเด็กและวันอื่นๆอีกต่อไป หลายคนอาจถือเป็นเทศกาลแห่งความสุข ความอบอุ่นในครอบครัวที่มีโอกาสได้รวมตัว เด็กๆ ได้พบปะบรรดาญาติผู้ใหญ่ ปู่ ย่า ตา ยาย อยู่พร้อมหน้ากัน ต่างมอบความสุขให้แก่กัน

สำหรับน้องๆ ตามสถานสงเคราะห์อาจเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้อยู่กับครอบครัว ด้วยเหตุนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิสุขภาพไทย สหทัยมูลนิธิ และเครือข่ายพุทธิกา จัดทำโครงการ “พลังอาสาสมัคร สร้างสุขให้เด็กในสถานสงเคราะห์” สร้างความเข้าใจถึงคุณค่าของงานอาสาสมัครและพัฒนาอาสาสมัครให้เกิดเป็นเครือข่าย ทำความดีแก่เด็กและทำประโยชน์ให้กับสังคมของประเทศไทย

นายวีรพงษ์ เกรียงสินยศ หรือพี่กระรอก มูลนิธิสุขภาพไทย เผยว่า “ก่อนที่จะมาร่วมทำโครงการกับ 4 สถานสงเคราะห์นั้น ทางมูลนิธิสุขภาพไทยได้อุ่นเครื่องนำร่องเมื่อ7-8 ปีที่แล้ว ณ สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนปากเกร็ด แล้วค่อยเริ่มขยายไปที่สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท จนกระทั่งในปีที่ผ่านมาจึงทำทั้ง 4 สถานสงเคราะห์ แนวคิดที่เริ่มทำโครงการนี้ เพราะคนไทยทำบุญกันเยอะ แต่เป็นวัตถุซะส่วนใหญ่ แต่บุญที่ได้เยอะเหมือนกันก็คือการเป็นอาสาสมัคร และมาผนวกกับเหตุการณ์กระแสในบ้านเมืองเรื่องจิตอาสา

พี่กระรอกกล่าวต่อว่า เวลาที่คนเราทำบุญมักจะมีความสุข อิ่มเอิบ และการทำบุญจะยิ่งมีประโยชน์ก็คือ การไปช่วยเหลือคนอื่นทางมูลนิธิสุขภาพไทยมีความรู้เกี่ยวกับการนวดสัมผัสเด็ก ซึ่งจะช่วยในการพัฒนาด้านร่างกายและอารมณ์ไปพร้อมๆ กัน ทางมูลนิธิจึงเริ่มรับอาสาสมัครมาช่วยนวดสัมผัสเด็ก ทำให้เด็กหลายคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จึงเกิดเป็นแนวคิดในการหาอาสาสมัครระยะยาวมาช่วยดูแลเด็ก

“เริ่มต้นจากการเชิญชวนให้สมัครเป็นอาสาสมัครทำงานกับทางเราอย่างน้อย 4 เดือนก่อน พอได้กำหนด 4 เดือนแล้วจะมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ยินดีพร้อมจะเป็นอาสาสมัครในระยะยาวได้ คือสามารถดูแลน้องจนจบออกไปจากสถานสงเคราะห์ ย้ายไปอยู่บ้านอื่นนั่นคืออายุได้ 6-7 ขวบ ซึ่งอาสาสมัครที่มาทำงานขอแค่มาทำงานอาทิตย์ละ 3 ชั่วโมงเท่านั้น แค่ขอให้มาอย่างต่อเนื่องเป็นสายสัมพันธ์แบบยืนยาวเพราะเป็นการกระตุ้นพัฒนาการเด็กได้”

พี่กระรอกยังกล่าวว่า ยิ่งช่วงเทศกาล เด็กทุกคนต้องการของขวัญ ถ้ามองไปในหัวใจเด็ก คิดว่าสิ่งที่พวกเขาอยากได้เป็นของขวัญชิ้นเยี่ยม นั่นคือ พี่ๆ ที่มาร่วมแบ่งปันเวลามาช่วยเป็นพี่เป็นเพื่อนกับเขามาทำกิจกรรมที่กระตุ้นพัฒนาการ จึงนับเป็นของขวัญที่มีมูลค่ามากที่สุดของเด็กๆ เหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องเป็น 4 สถานสงเคราะห์ที่นี่เท่านั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่จังหวัดไหนก็สามารถเข้าไปช่วยเหลือตามที่เหล่านั้นได้

สำหรับสิ่งที่ยังขาดในสถานสงเคราะห์ นอกจากคนที่จะมาช่วยดูแลเด็กๆ แล้ว ยังขาดพื้นที่ อาคารสำหรับรองรับการจัดกิจกรรม สำหรับทำกิจกรรมเฉพาะ สำหรับเด็กจำนวนหลายร้อยคน เพื่อเด็กและพี่อาสามาร่วมกันทำกิจกรรมมอบความสุขให้แก่กัน”

การทำบุญลงใจลงแรง แต่ไม่ต้องลงเงิน

นายประสิทธิ์ วัชรสิริทรัพย์ อายุ 49 ปี อาชีพรับเหมาอาสาสมัครจากบ้านเด็กอ่อนบ้านปากเกร็ด กล่าวว่า “ทราบข่าวการทำบุญกับเด็กจากมูลนิธิสุขภาพไทย แล้วเกิดความสนใจ เพราะเป็นการทำบุญแบบไม่ต้องลงเงิน แค่ลงแรงและมีเวลาในการช่วยเหลือเด็กๆ ที่ถูกทอดทิ้งตามสถานสงเคราะห์ โดยทำหน้าที่อาสาสมัครเป็นเวลา 6 เดือนแล้ว เมื่อมีเวลาว่างวันใดก็จะแวะมา ส่วนใหญ่มักจะเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ น้องที่ดูแลอยู่เป็นเด็กผู้ชาย ชื่อน้องบุญโชคอายุ 2 ขวบ

หน้าที่ของอาสาสมัครอย่างเราก็คือ คอยดูแลน้อง เล่นกับน้อง อ่านหนังสือ เล่านิทาน ป้อนข้าว พาไปออกกำลังกาย อาบน้ำ ทุกอย่างที่เราสามารถจะช่วยเหลือเด็กๆ ได้ โดยอาสาสมัครจะได้รับการอบรมจากแพทย์-พยาบาลถึงวิธีการดูแลเด็กอ่อน และการเสริมสร้างทักษะพัฒนาการแก่เด็ก เพื่อให้เด็กที่เราดูแลมีการเจริญเติบโตที่ดีและพัฒนาการตามวัย

เมื่อมาเป็นอาสาสมัครพี่ประสิทธิ์บอกว่า มีความสุขใจอย่างมาก ตื้นตันใจ ชื่นใจทุกครั้งที่น้องบุญโชคมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เมื่อเห็นเรามาหาก็จะวิ่งเข้ามากอด และน้องก็มีพัฒนาการที่แข็งแรง เติบโต ไม่เงียบเหงาอย่างแต่ก่อน เมื่อได้ดูแลก็รู้สึกรักน้องบุญโชคเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว และตั้งใจไว้ว่าจะขอเป็นอาสาสมัครดูแลน้องต่อไปเรื่อยๆแม้ว่าจะหมดโครงการ

สิ่งที่พี่ประสิทธิ์อยากฝากไว้ก็คือ อยากให้มีอาสาสมัครมาช่วยดูแลน้องๆ กันมากๆ เพราะเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง เป็นการให้ที่เราไม่หวังสิ่งตอบแทน ทั้งยังได้ช่วยเหลือสังคมอีกด้วย วัตถุสิ่งของไม่ใช่สิ่งที่เด็กๆ ต้องการที่สุด แต่พวกเขาต้องการความรัก ความอบอุ่น การดูแลเอาใจใส่จากคนที่มามอบให้ต่างหาก” นายประสิทธิ์กล่าวทิ้งท้า

นางสาวนพวรรณ พงษ์ทอง หรือพี่ไก๊ อายุ 55 ปี พนักงานบริษัท ทีโอที อาสาสมัครเด็กอ่อนพิการทางสมองและปัญญา (บ้านเฟื่องฟ้า) กล่าวว่า “ที่มาเป็นอาสาสมัคร เพราะว่าอยากจะทำอะไรที่ช่วยเหลือนอกเหนือจากการบริจาคสิ่งของ หรือเงิน เราได้ลงแรงทำเพื่อเด็กโดยตรงมากกว่า และทราบจากทางมูลนิธิสุขภาพไทยมีกิจกรรมชวนให้มานวดสัมผัสเด็ก

น้องโดโด้เด็กที่พี่ไก๊ดูแลมีอาการ cp คือพิการทางสมอง และมีอาการเกร็ง ซึ่งการนวดช่วยได้ บ้านเด็กอ่อนปากเกร็ดเปิดพื้นที่ให้เข้าช่วยเหลือได้ ซึ่งปกติเด็กบ้านนี้จะเป็นเด็กปกติ แต่มีน้องโดโด้เข้ามา จากที่ทดลองนวดน้อง ได้ช่วยเหลือเขา ทำให้เขาพัฒนาดีขึ้น จากที่ขยับไม่ได้เลย นอนอยู่กับพื้นอย่างเดียว จนปัจจุบันสามารถขยับตัว เคลื่อนไหวคลานไปไหนมาไหนได้ พออายุได้ 2 ขวบ หมอถึงวินิจฉัยว่ามีอาการพิการ จึงย้ายมายังบ้านเฟื่องฟ้าตนเองก็เลยตามมาดูแลที่นี่ เป็นระยะเวลาต่อเนื่องกว่า5 ปีแล้ว ปัจจุบันน้องโดโด้อายุได้ 6 ขวบ 2 เดือน

สิ่งที่พี่ไก๊ได้รับจากการเป็นอาสาสมัครคือความสุข รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ามากขึ้น และยิ่งมีความสุขเมื่อเห็นการพัฒนาการของน้องที่ดีขึ้นเรื่อยๆจากการที่เราดูแลตั้งแต่เล็กๆ คอยช่วยป้อนอาหาร เล่น อาบน้ำ และช่วยเสริมด้านพัฒนาการ ในตอนนี้สิ่งที่อยากได้นอกจากของเล่นที่เสริมพัฒนาการให้กับเด็ก คืออยากจะขอให้มีอาสาสมัครมาช่วยเหลือเด็กพิการให้มากยิ่งขึ้น เพราะลำพังคนจำนวนเท่านี้ไม่สามารถดูแลเด็กได้อย่างทั่วถึง หรือจะเข้ามาจัดกิจกรรมที่เสริมพัฒนาการให้แก่เด็กในลักษณะของอาสาสมัครระยะยาวก็ได้ เพราะการดูแลเด็กอย่างยั่งยืนนั้นหาคนที่จะมาช่วยเหลือได้ยาก เนื่องจากเป็นงานที่หนักและเหนื่อย

ความสุขที่ได้ชดเชยสิ่งที่ขาด

ด้าน นางสาวสุพรรณี พันธ์สายออ น้องหมู อายุ 15 ปี เด็กสาวจากสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี เผยความรู้สึกว่า “รู้สึกดีใจที่มีพี่ๆ อาสาสมัครเข้ามาดูแลช่วยเหลือ ช่วยให้เรื่องที่ยากกลับง่ายขึ้นทั้งด้านการเรียน ที่เรียนตามคนอื่นไม่ทันหรือแม้แต่กิจกรรมในห้องเรียนเย็บปักถักร้อยเมื่อทำไม่ได้ครูผู้สอนก็ไม่สามารถดูแลนักเรียนได้อย่างทั่วถึง ก็จะมีพี่อาสานี่แหละที่เข้ามาช่วยมาสอนให้เข้าใจ ทำงานได้เสร็จเร็วขึ้นในทุกๆ วิชา นอกจากนี้ พี่ๆ จะร่วมทำกิจกรรมต่างๆ พาไปเที่ยวทัศนศึกษาข้างนอก คอยช่วยดูแลเป็นทั้งพี่และเพื่อนให้กับพวกหนูอยากให้พวกพี่อาสาอยู่กับหนูไปเรื่อยๆไม่อยากให้จบโครงการ เพราะว่าพี่เขาเป็นทั้งเพื่อนเล่นและทำให้ชีวิตพวกหนูมีคุณค่ามากขึ้น ทำให้หายเหงาไปได้” น้องหมูกล่าว
 
 
 
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 

Shares:
QR Code :
QR Code