แง้มประตูโรงเรียนผู้สูงวัย

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ 


ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต





  แง้มประตูโรงเรียนผู้สูงวัย thaihealth


ตามการคาดการณ์ของมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย ระบุว่าประเทศไทยได้กลายเป็นสังคมสูงวัยมาตั้งแต่ ปี 2548 คือมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปสูงถึงร้อยละ 10 ประชากรสูงอายุกำลังเพิ่มขึ้นด้วยอัตราที่เร็วมากคือ สูงกว่าร้อยละ  4 ต่อปี  ในขณะที่ประชากรรวมเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเพียงร้อยละ 0.5 เท่านั้น


ขณะที่ คาดการณ์ประชากรของสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่าประเทศไทยจะกลายเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์  คือมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปสูงถึงร้อยละ 20 ในปี 2564 และจะเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอดเมื่อมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปสูงถึงร้อยละ  28 ในปี 2574


แม้วัยวุฒิจะสูงขึ้น แต่ผู้สูงวัยใน เขตเทศบาลตำบลท่าชนะ อำเภอท่าชนะ จังวัดสุราษฎร์ธานี ก็ไม่ได้สร้างความกังวลใจให้ลูกหลาน  เพราะที่นี่เตรียมพร้อมสำหรับ ผู้สูงอายุที่ยังมีศักยภาพพร้อมที่จะพัฒนาตนเอง ใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอดชีวิตมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ผ่านกิจกรรมต่างๆ และหลักสูตรการเรียนในโรงเรียนผู้สูงอายุแห่งแรกของจังหวัดสุราษฎร์ธานี


จากคำบอกเล่าของ รัตนา นุราชหัวหน้าฝ่ายบริหารงานสาธารณสุข เทศบาลท่าชนะ หนึ่งในคณะทำงานตามโครงการ "การเสริมสร้างสุขภาพผู้สูงอายุ ในชุมชนหมู่ที่ 4 ต.ท่าชนะ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี" ซึ่งดำเนินกิจกรรมในนามชมรมผู้สูงอายุเทศบาลตำบลท่าชนะ และจัดตั้งกองทุนสงเคราะห์แก่สมาชิก ที่ถึงแก่กรรมมาก่อน  และภายหลังจึงได้ดำเนินโครงการโดยได้รับการสนับสนุนจากจากสำนักสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ (สสส.) ทำให้การดำเนินงานมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น


ในเขตเทศบาลท่าชนะมีผู้สูงอายุ 640 คน เป็นสมาชิกชมรมผู้สูงอายุ 252 คน โดยชมรมฯจะรับสมาชิกอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป เพราะกิจกรรมบางอย่างต้อง อาศัยผู้ที่อายุน้อยกว่าให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุซึ่งผู้ที่อายุมากที่สุดอยู่ในวัย  82 ปี เดิมทีชมรมผู้สูงอายุมีกิจกรรม อยู่บ้าง แต่ยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจนนัก  เมื่อได้ดำเนินโครงการร่วมกับ สสส. ทำให้มีแผนงานในดำเนินงานชัดเจน ยิ่งขึ้น และน่าจะทำให้เกิดความยั่งยืน ในการพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุได้อย่างต่อเนื่อง "กิจกรรมของชมรมก็จะมีการ ออกกำลังกาย รำไม้พลองทุกเช้า ประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ มุ่งให้ผู้สูงอายุ ติดสังคม ไม่ต้องการให้ติดบ้าน ติดเตียง มีการทำกิจกรรมตั้งกลุ่มเล่นอังกะลุง รำวง กลองยาว" หัวหน้าฝ่ายบริหาร งานสาธารณสุข เทศบาลท่าชนะเปิดเผย


หลักๆ เน้นในเรื่อง 3 อ.คือ อบรม อารมณ์ อดิเรก มีอาจารย์มาสอนตามทักษะ เชิญวิทยากรจากภายนอกมา สอนบ้าง ซึ่งเทศบาลท่าชนะให้การสนับสนุนอย่างดี โรงเรียนมีคณะจาก ต่างจังหวัดมาดูงานกิจการอยู่เป็นระยะ


สำหรับหลักสูตรของโรงเรียนผู้สูงอายุ มี 2 ระดับหลักสูตรละ 2 ปี ทั้งระดับต้น และระดับสูง มีวิชาที่ส่งเสริมให้ผู้สูงวัย ใช้ในการดูแลตนเองได้ เช่น อาหาร และโภชนาการ ลีลาศเพื่อสุขภาพ ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร เป็นต้น โดยเน้นให้ผู้สูงอายุมีความสุขในการเรียน และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกคนได้แสดงศักยภาพ จากประสบการณ์ที่มีอยู่ในตัวอยู่แล้ว


ทางด้านวิมล พรหมทุ่งฆ้อ ผู้สูงวัย อายุ 70 ปี นักเรียนโรงเรียนผู้สูงอายุท่าชนะ เล่าอย่างอารมณ์ดีว่า ปกติทำงานบ้าน ดูแลสวนปาล์มและสวนยางพาราบ้าง ก่อนหน้านี้เคยเปิดร้านขายสินค้า แต่ภายหลังเลิกกิจการและได้เข้าร่วมทำกิจกรรมกับชมรมผู้สูงอายุ ทำให้รู้สึกมีความสุข สบายใจ ไม่รู้สึกเคร่งเครียด เพราะได้พบปะพูดคุยกับเพื่อนผู้สูงอายุในวัย ใกล้เคียงกัน ได้เรียนรู้ในบางเรื่องที่ ไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อน


"มีความสุขมากกับการได้ทำกิจกรรมกับคนอาวุโสในวัยที่ใกล้เคียงกัน อยู่บ้านคนเดียวก็เหงา พอได้มาเจอเพื่อนๆ  ได้ทำกิจกรรมร่วมกันก็มีความสุข ยิ่งได้มาเรียนเป็นนักเรียนด้วยก็ทำให้ได้รับความรู้ด้วยอย่างวิชาท้องถิ่นบางเรื่องก็ไม่เคยรู้มาก่อน ส่วนตัวแล้วชอบวิชาลีลาศและชอบร้องเพลง แทบไม่อยากให้ ปิดเรียนและไม่อยากจบเลย" 


ขณะที่ จงกลนี แพน้อย อดีตรอง ผู้อำนวยการโรงเรียนท่าชนะ วัย 63 ปี เล่าว่าได้รับการชักชวนจากเทศบาลท่าชนะให้มาเป็นครูในโรงเรียนผู้สูงอายุ ทำหน้าที่สอนวิชาการปกครองไทย  พุทธศาสนา ท้องถิ่นของเรา และวิชาลีลาศเพื่อสุขภาพ ซึ่งในการสอนผู้สูงอายุมีความแตกต่างจากเด็กนักเรียนที่เคยเรียนมา ต้องปรับการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับผู้สูงวัย เพราะผู้เรียนมี ความแตกต่างกันมาก มีทั้งผู้จบชั้นประถมปีที่ 4 ระดับมัธยม ระดับ ปริญญาตรีและปริญญาโทก็มี แต่จะเน้นความสนุกสนานให้ความรู้สึกผ่อนคลายไม่เคร่งเครียด เน้นให้ผู้เรียนเกิดความสุขในการเรียน ขณะเดียวกันผู้สอนก็ได้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เรียนไปด้วย


 


 

Shares:
QR Code :
QR Code