เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ลดเสี่ยงโรค NCDs

      ในประเทศไทยอาจไม่ค่อยรู้จักกลุ่มโรค NCD-Net หรือกลุ่มโรคไม่ติดต่อที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตเท่าที่ควร ทั้งที่เป็นโรคที่สร้างปัญหาอันดับหนึ่งให้แก่สุขภาพและเสียชีวิตของชาวไทย โดยบ่อเกิดส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมเสี่ยงในการใช้ชีวิต ได้แก่ สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม และมีกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายไม่เพียงพอ


/data/content/26934/cms/e_bnprstux1238.jpg


    ขณะที่แนวทางป้องกันก็มีหลายวิธี อันดับแรกคือลดปัจจัยเสี่ยงข้างต้น รวมทั้งหมั่นออกกำลังกายจนเป็นนิสัย ขณะที่พ่อแม่ผู้ปกครองก็มีส่วนสำคัญป้องกันบุตรหลานให้ห่างไกลโรคดังกล่าวนี้ด้วยการเลี้ยงลูกๆ ด้วยนมแม่ตั้งแต่แรกเกิด


    แผนงานเครือข่ายควบคุมโรคไม่ติดต่อ (NCD-Net) สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนาเชิงวิชาการเรื่อง “ลดวิกฤติ NCDs ด้วยนมแม่” เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและองค์ความรู้ คุณประโยชน์ของนมแม่ และสร้างความเข้าใจเรื่องบทบาทของบุคลากรทางการแพทย์ในการสนับสนุนเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ที่โรงแรมเดอะสุโกศล กรุงเทพฯ


    พญ.จุรีพร คงประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์ของกลุ่มโรคติดต่อไม่เรื้อรัง (Non-Communicable Disease) หรือโรค NCDs ว่ามี 4 กลุ่มโรคหลักที่สำคัญคือ ข้อ หนึ่ง โรคหัวใจและหลอดเลือด ข้อสอง โรคมะเร็ง ข้อสาม โรคเบาหวาน และข้อสี่ โรคปอดเรื้อรัง โดยมีปัจจัยเกิดจากพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่ สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม และมีกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายไม่เพียงพอ


    ปัจจุบันกลุ่มโรค NCDs นับเป็นปัญหาสุขภาพอันดับหนึ่งของประเทศไทยและของโลก เนื่องจากสถิติปี 2551 ประชากรโลกเสียชีวิตด้วยโรค NCDs จำนวน 36 ล้านคน หรือคิดเป็น 63% ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดในโลก และปี 2552 คนไทยเสียชีวิตด้วยโรค NCDs มากถึง 73% ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด


    พญ.ชมพูนุท โตโพธิ์ไทย แพทย์ชำนาญการ สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงวิธีการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรค NCDs ว่า ต้องเริ่มตั้งแต่แรกเกิดด้วยการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ซึ่งเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากที่สุด แม่ควรให้นมลูกอย่างเดียวเป็นเวลา 6 เดือน จากนั้นให้นมลูกและอาหารตามพัฒนาการแต่ละช่วงวัยไปจนถึงอย่างน้อย 2 ขวบ หรือมากกว่านั้น


    การให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรค NCDs ทั้งในแม่และลูก โดยในทารกจะลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนได้ถึง 7-17% ลดไขมันชนิดเลว (LDL) ลดความเสี่ยงการเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว


    ส่วนข้อดีสำหรับแม่นั้น คือการให้นมลูกช่วยลดน้ำหนักตัวหลังคลอด ลดความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็งเต้านมและโรคมะเร็งรังไข่


    ดร.ปรียาสิริ มานะสันต์ รองผู้อำนวยการศูนย์นโยบายและการจัดการสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า เด็กที่ใช้นมผงจะมีความเสี่ยงเกิดอาการแพ้ ท้องเสีย ท้องอืด ดีซ่าน รวมถึงการหยุดหายใจชั่วคราว ซึ่งทำให้เกิดภาวะออทิสซึม : Autism หรือเรียกกันว่าผู้ป่วยออทิสติกได้ เพราะนมผงมีการเติมสารสังเคราะห์ DHA (Docosahexaenoic acid) หรือกรดไขมันจำเป็นในกลุ่มโอเมกา 3 ซึ่งมีงานวิจัยของประเทศเดนมาร์กเตือนว่า เด็กที่ดื่มนมผงตั้งแต่เล็กๆ มีโอกาสจะเป็นออทิสซึมถึง 30% ซึ่งทำให้องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาปฏิเสธการใส่สารสังเคราะห์ DHA ลงไปในนมสำหรับเด็กอ่อน เนื่องจากนมผงสูตรปกติมีกรดไขมันที่สามารถเปลี่ยนเป็น DHA และ AHA ได้มากเพียงพอแล้ว


    รศ.กรรณิการ์ วิจิตรสุคนธ์ ประธานศูนย์ฝึกอบรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และโภชนาการเด็ก คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขมีความสำคัญมากในการให้คำแนะนำประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เนื่องจากจะเป็นผู้ให้ข้อมูลและช่วยเหลือแม่ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยบุคลากรทางการแพทย์ควรให้นมแม่ภายใน 30 นาทีแรกเมื่อทารกคลอดจากครรภ์มารดา


    ปัญหาที่พบคือ แม่คนไทยมีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่ำที่สุดในอาเซียนเพียง 20% เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา มีอัตรา 74% ปากีสถาน 80% สาเหตุจากอิทธิพลการโฆษณาชวนเชื่อของผลิตภัณฑ์นมผง ที่ทำให้แม่คนไทยเข้าใจว่ามีคุณค่าเพียงพอเทียบเท่านมแม่ และจากการที่แม่คนไทยที่ทำงานนอกบ้านสามารถลาคลอดได้เพียงไม่เกิน 3 เดือน จากปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดปัญหาที่น่าวิตก ต้องรีบแก้ไขเพื่อลดปัญหาสุขภาพประชากรไทยในอนาคต


    ปัจจุบันจึงมีหลักสูตรอบรมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งได้ระบุบทบาทของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขไว้ว่า ต้องกระตุ้น ส่งเสริมและปกป้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และในกรณีที่จำเป็นต้องใช้อาหารทารกและเด็กเล็กแทนนมแม่ ต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ดังนั้นบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขยังสามารถให้ข้อมูลอาหารทดแทนนมแม่กับแม่ที่จำเป็นต้องใช้ได้ และสามารถดำเนินงานวิจัยที่โปร่งใสเกี่ยวกับอาหารทดแทนนมแม่ได้


    ตั้งแต่ปี 2551 องค์การอนามัยโลกและประเทศสมาชิกได้ประกาศใช้หลักเกณฑ์ International Code of Marketing of Breast-milk Substitutes หรือ CODE คือหลักเกณฑ์สากลว่าด้วยเรื่องการตลาดอาหารสำหรับทารกและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อควบคุมการตลาดและการโฆษณาของบริษัทประกอบธุรกิจการอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กที่ขาดจรรยาบรรณ โดยไม่ได้ควบคุมการขาย หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ เพียงแต่ต้องการกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของบุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงสถานบริการสาธารณสุขและระบบบริการสุขภาพให้สำนึกรับผิดชอบต่อการให้ความรู้ต่อแม่ที่ถูกต้อง ป้องกันทารกจากภัยที่อาจได้รับจากการดื่มนมผง ซึ่งไม่ใช่ข้อกฎหมายหรือข้อบังคับ แต่เป็นเพียงคำแนะนำเท่านั้น จึงทำให้เกิดการละเมิด ‘Code’ อยู่ตลอด เช่น แจกนมผงให้กับแม่ตามโรงพยาบาล คลินิก หรือแม้แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การตลาดลักษณะนี้ของอุตสาหกรรมนมผง ทำให้เกิดผลเสียต่อแม่และลูก


    จากปัญหาทั้งหมดและมาตรการที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เป็นประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ว่าด้วยการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง พ.ศ.2551 ยังขาดมาตรการการบังคับโทษเจ้าของธุรกิจอาหารสำหรับทารกหลายรายที่ยังฝ่าฝืนข้อบังคับ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ร่วมกับภาคีที่เกี่ยวข้องต้องการตอกย้ำความเข้าใจและสร้างความตื่นตัวให้กับสังคมเพื่อแก้ไข จึงได้ผลักดัน ”พระราชบัญญัติการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง” ซึ่งมีขอบเขตคุ้มครองผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับเด็กแรกเกิด-เด็กเล็กอายุ 2 ปี โดยควบคุมผลิตภัณฑ์นมผงสูตร 1 สำหรับทารก สูตร 2 อายุ 6 เดือน-3 ปี และสูตร 3 สำหรับเด็กอายุ 1-3 ปี ต่อมาคือการควบคุมอาหารเสริม โฆษณาที่ไม่ถูกต้อง รวมทั้งผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่น นมผง อาหารเสริม ฯลฯ


    ทั้งนี้ ปัจจุบันมี 38 ประเทศทั่วโลกบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ อินเดีย ศรีลังกา เนปาล เวียดนาม แอฟริกาใต้ บังกลาเทศ และอีก 44 ประเทศมีกฎระเบียบที่ควบคุมบางส่วน


    ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่เห็นความสำคัญเรื่องนี้เท่าที่ควร จึงเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือแก้ไข โดยเฉพาะให้ความรู้ที่ถูกต้องต่อประชากรเพื่อหันกลับมาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มากขึ้น และนำไปสู่การแก้ไขโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ให้ลดลงได้


    International Code of Marketing of Breast-milk Substitutes หรือ CODE


    1.ห้ามโฆษณาอาหารทดแทนสำหรับทารก


    2.ห้ามแจกนมผงฟรี


    3.ให้ทำการตลาดจำหน่าย และลดราคานมผงสำหรับทารกในสถานพยาบาล


    4.ห้ามบริษัทนมหรือตัวแทนติดต่อแม่และครอบครัวของทารก


    5.ห้ามให้ของขวัญหรือสินน้ำใจกับบุคลากรทางการแพทย์


    6.ห้ามเขียนอวดอ้างหรือใช้รูปทารกบนบรรจุภัณฑ์นมผงทารก


    7.ข้อมูลต้องมาจากการวิจัยที่มีมาตรฐานเท่านั้น


    8.ฉลากของนมผงต้องระบุความเสี่ยง เช่น SIDS ลำไส้เน่า ภูมิแพ้


  


 


 


      ที่มา: เว็บไซต์ไทยโพสต์


      ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

Shares:
QR Code :
QR Code