เรื่องเล่าจากวันแห่งพลังวัยเก๋า: เมื่อสังคมไทยก้าวสู่ยุคแห่งภูมิปัญญา

เรื่องโดย: อัจฉริยา คล้ายฉ่ำ Team Content www.thaihealth.or.th

ข้อมูลจาก: งานวันผู้สูงอายุ 1 ตุลาคม 2568 ที่อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร(ดินแดง)

ภาพโดย: อัจฉริยา คล้ายฉ่ำ Team Content www.thaihealth.or.th

                            อีกไม่ถึงสิบปีข้างหน้า ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” หรือ Super Aged Society—สังคมที่ผู้สูงอายุมีสัดส่วนมากกว่า 30% ของประชากรทั้งหมด ภายในปี 2576

                            ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2567 ระบุว่า ขณะนี้ผู้สูงอายุมีสัดส่วนถึง 20.7% และกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากไม่เตรียมรับมืออย่างรอบด้าน ผลกระทบอาจลามไปถึงเศรษฐกิจ ระบบสวัสดิการ และสุขภาพของประชาชนโดยรวม

                            แต่ถ้าเรามองให้ลึกกว่านั้น ผู้สูงอายุไม่ใช่ภาระ หรือเพียงกลุ่มที่ต้องการการดูแล หากคือ “พลังเงียบ” ที่สามารถทำให้สังคมเข้มแข็ง ยืดหยุ่น และยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

                            นี่คือที่มาของจุดเริ่มต้นงาน “วันผู้สูงอายุสากล ประจำปี 2568” ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับกรุงเทพมหานครและภาคีเครือข่ายกว่า 13 องค์กร ภายใต้แนวคิด “บทบาทของผู้สูงอายุในการสร้างสังคมที่ยืดหยุ่นและยั่งยืน” ณ อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (ดินแดง) กลายเป็นพื้นที่แห่งรอยยิ้มและสีสัน ผู้สูงอายุกว่า 1,000 คนจากทั่วประเทศมารวมตัวกันเพื่อร่วมกิจกรรม “4 เพลินวัย” ได้แก่

                          เพลินกาย-ใจ: กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพกายและจิต

                           เพลินชีวา: งานศิลป์และการแสดงออกทางวัฒนธรรม

                           เพลินทำ: เวิร์กช็อปฝึกทักษะและงานฝีมือ

                           เพลินอารมณ์: ดนตรี การเต้น และการเชื่อมโยงความสุข

                         กิจกรรมเหล่านี้ไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่เป็นการสร้างพื้นที่เรียนรู้ร่วมกันระหว่างวัย เพื่อยืนยันว่า “ทุกคนมีคุณค่าในสังคม”

                            นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวอย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุตั้งแต่ปี 2548 และแนวโน้มยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สสส. จึงขับเคลื่อนงานใน 4 มิติ—สุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม—เพื่อให้ผู้สูงวัยมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ

                            แนวคิดนี้สอดคล้องกับงานวิจัย “Blue Zones” ที่พบว่า ผู้สูงอายุที่มีอายุยืนยาวกว่า 100 ปี ไม่ได้พึ่งพาเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่การมี “ครอบครัวและเพื่อนที่ใกล้ชิด” และการมีส่วนร่วมหรือเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน มีเพื่อนสนิทและเครือข่ายเหนียวแน่น (Love Ones First)

                            รวมไปถึงแสดงความรักผ่านการโอบกอดหรือสัมผัสทุกวัน ไม่เพียงแต่สร้างความมั่นคงทางจิตใจยังช่วยลดความเครียดและภาวะซึมเศร้า และส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดี ซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการมีอายุยืนยาว

                            นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เน้นว่า ในทุก ๆ ปี ทั้งในวันผู้สูงอายุไทยและวันผู้สูงอายุสากล หน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม และเครือข่ายผู้สูงอายุ กทม. จะร่วมกันจัดกิจกรรมที่หลากหลาย ซึ่งมีทั้งการดูแลผู้สูงวัยทั้งด้านการจัดการสวัสดิการที่เหมาะสม การส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุออกแบบงานทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างคนต่างรุ่นให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง เท่ากับเป็นการลดช่องว่างระหว่างวัย

                            ขณะที่ นายทวาย คงคา ตัวแทนภาคีเครือข่ายผู้สูงอายุสะท้อนว่า… “หลายครั้งผู้สูงอายุอาจคิดเอาเองว่า ตัวเองเป็นภาระต่อการดูแลของครอบครัวและสังคมรอบข้าง อาจรู้สึกว่าชีวิตด้อยค่า ส่งผลให้เผชิญกับความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า แยกตัวจากสังคม รวมถึงปัญหาสุขภาพ  แต่ความจริงเรายังทำงานได้ มีประสบการณ์และภูมิปัญญาที่อยากถ่ายทอด

                            ดังนั้น การได้ร่วมกันทำกิจกรรมเฉลิมฉลองงานวันผู้สูงอายุสากล จึงถือเป็นวันสำคัญที่ไม่เพียงแต่สร้างรอยยิ้มและความสุข ยังทำให้เกิดการสร้างพื้นที่ทางสังคมอย่างเข้าใจ ช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าตนเองยังมีค่าสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการมีพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการมีส่วนร่วมจะช่วยให้สามารถถ่ายทอดประสบการณ์และภูมิปัญญาได้

                            ความจริงแล้ว คนรุ่นใหม่ก็ได้เรียนรู้แนวทางในการเผชิญความท้าทายของอนาคตด้วยภูมิคุ้มกันทางสังคมที่แข็งแกร่ง

                            ด้าน ดร. Sabine Henning จาก ESCAP กล่าวในเวทีสากลว่า “ผู้สูงอายุไม่ใช่เพียงผู้รับการดูแล แต่คือผู้นำการเปลี่ยนแปลง ผู้พิทักษ์ภูมิปัญญา และผู้สร้างความก้าวหน้าให้สังคม”

                            ยังชี้อีกด้วยว่ าไทยจะมีผู้สูงอายุถึง 36.1% ภายในปี 2593 ซึ่งหมายความว่า สังคมต้องเร่งสร้างสิ่งแวดล้อมที่ผู้สูงอายุสามารถมีส่วนร่วมได้จริง และเปลี่ยนทัศนคติที่มองอายุเป็นข้อจำกัด

                            บทเรียนจากงานนี้ชี้ชัดว่า ผู้สูงอายุ คือ คลังปัญญาของสังคมไทย เป็นกำลังสำคัญในการสร้างสังคมที่ยืดหยุ่นและยั่งยืน ผ่านการแบ่งปันประสบการณ์ให้กับคนรุ่นใหม่ และสร้างกิจกรรมที่เติมพลังใจให้ทุกช่วงวัย

                            แนวคิด Blue Zones ไม่ใช่แค่เรื่องของการมีอายุยืนเท่านั้น แต่ต้องมี “คุณภาพชีวิตที่ยืนยาว” คู่กันไปด้วย หากนำหลักการเหล่านี้มาปรับใช้กับนโยบายสาธารณะไทยอีกด้วย เช่น การออกแบบเมืองให้เดินได้ ปลอดภัย และมีพื้นที่สีเขียว การส่งเสริมกิจกรรมข้ามรุ่นในชุมชน การสร้างระบบสวัสดิการที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายชีวิตของผู้สูงวัย การสนับสนุนอาหารพื้นบ้านและการผลิตในครัวเรือน

                            บทสรุปของกิจกรรมวันผู้สูงอายุสากลในวันที่โลกหมุนเร็วด้วยเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลง ทำให้เราพบว่า…ผู้สูงวัย คือ ผู้ที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางกระแสเหล่านั้น ด้วยสายตาที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยบทเรียนชีวิต และด้วยมือที่เคยสร้างบ้านเมืองให้เราเติบโต

                            อีกทั้งทำให้เราตระหนักถึงพวกเขา คือ ผู้ถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น สร้างรากฐานให้ชุมชนเข้มแข็ง คือผู้เล่าเรื่องอดีตให้คนรุ่นใหม่เข้าใจปัจจุบัน และเตรียมรับมืออนาคต คือผู้ที่รู้จัก “จังหวะชีวิต” และสามารถสอนให้เราหยุดคิดก่อนเร่งรีบ

                            สสส. ขอเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมเปลี่ยนสังคมไทยที่ผู้สูงวัยได้ใช้ชีวิต “ยืนหยัดอย่างมีคุณค่า” และ “คุณภาพชีวิตที่ยืนยาว” เพราะผู้สูงอายุไม่ใช่เพียง  “ผู้รับการดูแล” แต่คือ “ปราชญ์ร่วมสมัย คลังปัญญาของสังคมไทย” ผู้ที่มีบทบาทในการชี้นำสังคมด้วยภูมิปัญญา ประสบการณ์ และความเข้าใจในความเป็นมนุษย์อย่างลึกซึ้ง

Shares:
QR Code :
QR Code