เยือนวัดป่าเป้าฟังเรื่องเล่าจากเด็กไทยใหญ่
อากาศเชียงใหม่ช่วงที่ผ่านมาเมื่อไม่กี่วันไม่หนาวอย่างที่คิด หลายคนอุตส่าห์เตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วย เลยผิดหวังเล็กน้อย ลงจากรถยังไม่หายงัวเงียนัก แต่ก็ตาสว่าง เพราะเห็นการร่ายรำระบำคล้ายนกยูงกำลังรำแพนของนักเรียนชายหญิงรอรับพวกเราอยู่กลางลานกว้าง
ลักษณะบ่งชัดว่าไม่ใช่การรำไทย ถามอาจารย์ที่ยืนอยู่แถวนั้น บอกว่านี่คือศิลปะของไทยใหญ่ ชนกลุ่มน้อยในพม่า
รอบด้านเป็นโบราณสถานของวัดป่าเป้าที่เก่าแก่ มีตะไคร่น้ำจับตามปูนที่ก่อสร้างบอกถึงความยาวนานของสถานที่ ด้านติดกันกับวัดคือส่วนที่เป็นโรงเรียน มองเร็วๆ แวบเดียวก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เด็กไทยแท้ คล้ายเด็กจีนปนลาว เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ไว้ผมยาว แต่ทำผมอยู่ไม่กี่ทรง คือ ทำมวยโตและถักเปีย
หลังจากมีการกล่าวต้อนรับ พวกเราก็ได้รับเชิญเข้าไปนั่งฟังรายละเอียดต่างๆ ในห้องประชุม กาแฟร้อนที่ได้รับการผสมและคิดว่ากลมกล่อมดีแล้ว ขมฝืดคอขึ้นมาถนัดใจ เมื่อได้ฟังเรื่องราวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งปัจจุบันเป็นนักเรียนของศูนย์การเรียนรู้วัดป่าเป้า จ.เชียงใหม่แห่งนี้
น้องผู้หญิงคนนี้เป็นตัวแทนของเพื่อนร่วมโรงเรียนที่มีชีวิตไม่ต่างกันนัก เธอเล่าถึงการลี้ภัยรอนแรมดิ้นรนหนีภัยสงครามมาจากบ้านเกิดเมืองนอน เข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภารในแผ่นดินไทย
ตลอดเวลาตั้งแต่ลืมตาดูโลกไม่ว่าอยู่แผ่นดินไหน เธอต้องต่อสู้กับสงครามชีวิตตลอดเวลา เธอไม่ได้มาขอความสงสารจากพวกเรา ไม่ได้เรียกร้องหวังให้พวกเราเวทนา โดยการใช้ความยากลำบากมาแสดงละครชีวิตให้ดู ตรงกันข้าม ดวงตาของน้องๆ เหล่านี้กลับเต็มไปด้วยความหวัง รอยยิ้มจริงใจติดอยู่ที่ริมฝีปาก พวกเธอมีความหวัง เพราะมีที่ในแผ่นดินไทยให้อาศัย
ความหวังยิ่งเจิดจ้าไม่ต่างกับคนทั่วไป เมื่อได้รับความเมตตาจากเจ้าอาวาสวัดป่าเป้าให้จัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนรู้ มีครูมาสอนหนังสือ มีเสื้อผ้าและอาหารมอบให้ ภายใต้การร่วมมือของชุมชนหลายฝ่าย ทั้งวัด ผู้ปกครองท้องถิ่น และมหาวิทยาลัย
นี่เป็นความรับรู้ใหม่จากโครงการสื่อมวลชนสัญจรของ สสค. ภายใต้การนำของ นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการ สสค. อดีตผู้บริหารสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
หลายคนอาจจะไม่รู้จัก สสค. ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน คุณหมอสุภกรบอกว่า ภารกิจหนึ่งที่สำคัญของ สสค. คือ แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และการเดินทางมาลงพื้นที่เพื่อสำรวจศูนย์การเรียนวัดป่าเป้าก็เพื่อศึกษารูปแบบการจัดการศึกษาที่สอดรับกับกลุ่มเด็กด้อยโอกาส และในบริบทที่หลากหลายในสังคม
ผอ.โกศล ปราคำ ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเขต 1 จ.เชียงใหม่ เล่าให้ฟังถึงศูนย์การเรียนวัดป่าเป้าว่า เด็กไร้รัฐ ไร้สัญชาติ เป็นหนึ่งในกลุ่มของเด็กด้อยโอกาส ซึ่งเป็นลูกหลานผู้อพยพที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน จึงมีการจัดรูปแบบที่เรียกว่าโรงเรียนเขตพื้นที่ ซึ่งเป็นการบริหารจัดการที่กระจายการบริการเข้าไปถึงหย่อมบ้าน จากนั้นขยายมาที่เชียงใหม่ จึงสร้างโมเดลที่เรียกว่า “กี๊ดโมเดล” ซึ่งเรากำลังจะไปดูกันต่อ
จากการสำรวจของ สสค. มีเด็กไร้สัญชาติมากถึง 3-4 แสนคนทั้งประเทศ จึงขอความเมตตา จากพระครูเจ้าอาวาสวัดป่าเป้าจัดทำเป็นศูนย์การเรียนในเขตเมือง โดยมีองค์การยูนิเซฟประเทศ ไทยมาให้การสนับสนุนช่วยเหลือ เริ่มดำเนินการมา 2 ปีเศษ พบว่ารูปแบบนี้สามารถขับเคลื่อนได้ โดยแบ่งเป็นกลุ่มเด็กด้อยโอกาส 5 กลุ่ม คือ เด็กยากจน แม่วัยใส เด็กในสถานพินิจ เด็กไร้สัญชาติ เด็กที่เสี่ยงหลุดระบบการศึกษา
ผอ.โกศล บอกว่า สิ่งแรกที่ต้องทำคือยุทธศาสตร์ ชี้เป้า-เฝ้าระวัง-สังเคราะห์ แล้วเลือกให้เหมาะกับวิธีและพื้นที่ท้องถิ่น โดยเรามีองค์ความรู้ที่เป็นเมนูหลากหลายให้เหมาะกับพื้นที่ท้องถิ่น เพื่อไปต่อยอดให้เหมาะกับตัวเอง ส่วน สสค.ก็จะเข้ามาช่วยองค์ความรู้ เช่น กระบวนการวิจัย การแสวงหาองค์ความรู้ใหม่ๆ และการกระจายองค์ความรู้ไปให้ชุมชนต่างๆ ได้เรียนรู้เพื่อพัฒนาต่อยอด
พวกเราได้มีโอกาสดูเด็กเรียนหนังสือ ทั้งภาษาไทยใหญ่ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และภาษาจีน นี่คือสิ่งที่เรียกว่าโอกาส ที่ผู้ที่เกี่ยวข้องหยิบยื่นให้ ส่วนน้องๆ เหล่านี้จะได้รับไปได้มากมายแค่ไหน บางทีก็ขึ้นอยู่กับเรื่องของโอกาสและวาสนา
ดูแล้วแอบคิดถึงลูกชายและลูกของเพื่อนๆ ที่กรุงเทพฯ ที่แม้ครอบครัวเราเองจะไม่ได้ร่ำรวยมากมาย แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ชีวิตของเขาไม่ต้องต่อสู้กับสิ่งใดเลยนอกจากตัวเองและเพื่อนฝูงในสังคมเดียวกัน แข่งกันเรียน แข่งกันเป็นที่หนึ่ง แข่งกันอวดข้าวของทันสมัยตามวัยในโลกวัตถุนิยม
แต่เด็กๆ ชาวไทยใหญ่ที่ศูนย์เรียนรู้ป่าเป้าแห่งนี้ กลับต้องต่อสู้เพื่อขอเพียงมีชีวิตรอด…
นี่เป็นความรับรู้ใหม่ๆ จากการเดินทางมากับ สสค. ที่พอเห็นกับตาตัวเองแล้วยากที่จะบรรยายออกมาเป็นตัวหนังสือได้หมด …ไม่ได้นำมาเล่าให้รันทด แต่ให้รับรู้ว่ายังมีความจริงอีกมากมายที่เรายังไม่รู้
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์