เยาวชน Gen Z ร่วมใจไม่สูบบุหรี่
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
ภาพประกอบจาก facebook.com/pongpak.mongkonchaipanit
วิธีแก้ปัญหาสุขภาพจากการสูบบุหรี่ ต้องให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องใน 2 เรื่องสำคัญ ได้แก่ ช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่แล้วให้เลิกสูบบุหรี่ และรณรงค์ป้องกันไม่ให้เยาวชนไปเสพติดบุหรี่
การแก้ปัญหาดังกล่าวให้สำเร็จ จำเป็นต้องมีเครื่องมือสำคัญคือกฎหมายควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบออกมาควบคุม ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนรอการพิจารณาจากรัฐบาล และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเร็วๆ นี้
จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า อัตราการสูบบุหรี่ของคนไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 59 เป็นร้อยละ 39 (เฉพาะเพศชาย) แต่เนื่องจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น จำนวนคนไทยที่สูบบุหรี่ในปี พ.ศ.2556 จึงลดลงจากปี พ.ศ.2534 เพียงเล็กน้อย
แต่ที่น่าเป็นห่วงคือแนวโน้มการสูบบุหรี่กลับสูงขึ้นในกลุ่มเยาวชนและสตรีที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทบุหรี่ได้พัฒนาเทคนิคการตลาด รวมทั้งมีผลิตภัณฑ์ยาสูบชนิดใหม่ๆ ออกสู่ตลาด เพื่อหาลูกค้ารายใหม่ที่เฉลี่ยติดบุหรี่เมื่ออายุ 17.4 ปี จำนวนอย่างน้อย 100,000 คนในแต่ละปี ทดแทนผู้สูบบุหรี่ที่เลิกสูบหรือเสียชีวิต
ขณะนี้มีเยาวชนอายุ 15-18 ปี ติดบุหรี่แล้วถึง 353,898 คน ซึ่งเด็กไทยที่สูบบุหรี่ทุกๆ 10 คนนั้น 7 คนจะติดบุหรี่ไปตลอดชีวิต นั่นคือ เด็กไทย 247,728 คนที่ติดบุหรี่แล้วจะติดไปตลอดชีวิต ซึ่งครึ่งหนึ่งหรือ 123,864 คน จะป่วยและเสียชีวิตจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ในอนาคต จากสถิติที่พบว่า เยาวชนกลุ่มอายุ 15-18 ปี หรืออายุน้อยกว่านี้ มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่วงจรการเสพติดบุหรี่ ดังนั้น การป้องกันนักสูบหน้าใหม่จึงเป็นมาตรการที่สำคัญยิ่ง
นอกจากนี้ จากการสำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า คนไทยที่ติดบุหรี่กว่าครึ่งเริ่มสูบก่อนอายุ 19 ปี เมื่อมีการเริ่มสูบและติดแล้ว มีเพียงร้อยละ 27 เท่านั้นที่สามารถเลิกได้ ส่วนอีกร้อยละ 73 จะติดไปตลอดชีวิต
ดังนั้น หากเราสามารถช่วยกันป้องกันเด็กอายุต่ำกว่า 19 ปี ไม่ให้เริ่มสูบบุหรี่ ก็จะช่วยหยุดการเพิ่มนักสูบบุหรี่หน้าใหม่เข้าสู่วงจรการสูบ การป่วย และการตายจากบุหรี่ได้ ยิ่งกว่านั้นหากเยาวชนตกเป็นทาสของการเสพติดบุหรี่แล้ว ก็จะเป็นด่านแรกของการก้าวไปสู่สิ่งเสพติดและอบายมุขที่ร้ายแรงชนิดอื่นๆ ด้วย ถือเป็นเรื่องน่าดีใจที่วัยรุ่นวันนี้ ได้ลุกขึ้นมาบอกสังคมว่าจะไม่เลือกบุหรี่ และไม่รับเอาบุหรี่มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ในขณะที่กลุ่มวัยรุ่นคือเป้าหมายของบริษัทบุหรี่
หากสังคมทุกภาคส่วนช่วยกันคนละไม้คนละมือ มีการสร้างปัจจัยเอื้อ ทั้งมาตรการทางสังคมและมาตรการทางกฎหมาย เพื่อป้องกันเด็ก Gen Z หรือคือเด็กและเยาวชน ที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2538-2552 จากการเสพติดบุหรี่ ก็จะช่วยสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้
ดร.ศรัณญา เบญจกุล อาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยข้อมูลการสำรวจ สถานการณ์การบริโภคยาสูบของประชากรไทยในช่วง 24 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2534-2558) พบว่า จำนวนผู้สูบบุหรี่ลดลงจาก 12.2 ล้านคนในปี 2534 เป็น 10.9 ล้าน
ในปี 2558 ในจำนวนนี้ พบว่าเป็น Gen Z ที่มีอายุ 15-18 ปี 3.1 แสนคน ซึ่งหากเราช่วยกันปกป้อง Gen Z จากการเริ่มสูบบุหรี่ได้สำเร็จ ก็จะสามารถลดนักสูบหน้าใหม่ได้ถึงร้อยละ 90 และเพื่อให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2558-2562 ที่เน้นการป้องกันมิให้เกิดผู้เสพรายใหม่และเฝ้าระวังธุรกิจยาสูบที่มุ่งเป้าไปยังเด็ก เยาวชน และนักสูบหน้าใหม่ ซึ่งถ้าหากเรารณรงค์และป้องกันเด็กไทย จากการเสพติดบุหรี่ โดยเฉพาะกลุ่ม Generation ในปี 2559 ซึ่งมีจำนวนเกือบ 12 ล้านคน ก็จะสามารถลดอัตราการสูบบุหรี่ของคนไทยลงได้
นายพงศ์ภัค มงคลชัยพาณิชย์ ประธานสมาพันธ์เด็กและเยาวชนจังหวัดศรีสะเกษ หนึ่งในแกนนำเยาวชน Gen Z จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นจังหวัดนำร่องในการดำเนินกิจกรรมป้องกันนักสูบหน้าใหม่ของมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า จากกรณีที่สมาคมการค้ายาสูบไทย ซึ่งสนับสนุนโดยบริษัทบุหรี่ และกลุ่มชาวเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบ ออกมาต่อต้านรัฐบาลในการออกพระราชบัญญัติควบคุมยาสูบฉบับใหม่นั้น เห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควร เนื่องจากในปัจจุบันมีเด็กและเยาวชนไทย ติดบุหรี่มากถึงเกือบ 2 ล้านคนแล้ว การที่บริษัทบุหรี่ออกมาต่อต้านการออก พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ถือว่าเป็นการทำร้าย เด็ก เยาวชนและประชาชนทางอ้อม ขณะที่ตัวเองอาจสนใจเพียงกำไรในการค้าและมุ่งเป้าไปที่ตัวเยาวชนใช่หรือไม่
แกนนำเยาวชน Gen Z จังหวัดศรีสะเกษ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางสมาพันธ์เด็กและเยาวชนจังหวัดศรีสะเกษเองได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชน เพื่อให้เกิดแหล่งการเรียนรู้และผู้นำเยาวชนรุ่นใหม่ Gen Z : Strong ไม่สูบ เพื่อป้องกันนักสูบหน้าใหม่ โดยได้มีการจัดโครงการอบรมพัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่ายเยาวชน เมื่อวันที่ 13-15 สิงหาคม ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดศรีสะเกษ อำเภอวังหิน จังหวัดศรีสะเกษ
โดยการอบรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเครือข่ายเยาวชน ให้เกิดการเรียนรู้ในการเขียนโครงการ และการถอดข้อมูลในประเด็นปัจจัยเสี่ยงหลักด้านสุขภาพ (เครื่องดื่มแอลกอฮอล์-บุหรี่) น้องๆ ทั้งหมด 50 คน จาก 10 โรงเรียน ในจังหวัดศรีสะเกษ ได้มุ่งมั่นที่จะหาแนวทางในการป้องกัน และปกป้องเพื่อนๆ ของตัวเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ และทาสของการสูบบุหรี่ซึ่งนี่คือด่านแรกที่จะนำพาพวกเขาก้าวไปสู่สิ่งเสพติดชนิดอื่นๆ ได้
หากสังคมต้องการลดปริมาณเยาวชนไทยที่ติดบุหรี่ให้หมดไป ก็ต้องช่วยส่งเสียงไปถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้รีบผลักดันร่าง พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการนำเข้าที่ประชุม ครม.อีกครั้ง ก่อนส่งต่อให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เห็นชอบบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป