เมื่อ “วัด” เป็นเขตปลอดเหล้า

คุมพื้นที่ ห้ามขาย-ดื่ม ทั่วประเทศ!!

 

 เมื่อ “วัด” เป็นเขตปลอดเหล้า

          นับจากวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2551 จากนี้ไป วัดทุกแห่งถือเป็นเขตห้ามดื่ม ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วประเทศ

 

          หลังจากที่พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งกำหนดให้ “วัด” เป็นสถานที่ปลอดภัยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยมีบทกำหนดโทษผู้ฝ่าฝืน ด้วยการจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือ ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

          ในวัน “มาฆบูชา” ซึ่งถือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ที่ผ่านมา รัฐบาลโดย นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพจึงได้ประกาศนโยบาย “วัดปลอดเหล้าทั่วไทย” ในงานวัดปลอดเหล้าทั่วไทย ถวายเป็นพุทธบูชาที่วัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ เครื่อข่ายองค์กรงดเหล้า ร่วมจัดงาน

 

          “มาตรการสำคัญอย่างหนึ่งของการลดปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คือ มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ นั่นคือ การกำหนดเขตห้ามดื่มและห้ามจำหน่าย ซึ่ง วัดถือเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนา จึงถือเป็นพื้นที่แรกๆ ที่มีการบังคับใช้กฎหมายในภาคปฏิวัติได้อย่างจริงจัง” คำประกาศนโยบายของ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี

 

          เช่นเดียวกับ พระราชธรรมนิเทศ หรือพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว มองว่า “ตอนนี้เด็กไทย อายุ 11 – 19 ปี ติดเหล้าเป็นอันดับ 1 ของโลก ชนะ 200 กว่าประเทศและถ้ามวลรวมทั้งเด็กและคนแก่ เราติดอันดับ 5 ของโลก จึงขอสนับสนุนกับนโยบายเรื่องวัดปลอดเหล้า เพราะพบเห็นการนำน้ำเมาเข้าวัดอยู่บ่อยครั้ง ถึงเวลาแล้วที่ควรมีนโยบายควบคุมให้ชัด การที่รัฐบาลเป็นเจ้าภาพนำธง โดยมีข้าราชการด้านสาธารณสุขที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพที่มาจากการดื่ม จึงถือเป็นเรื่องดีที่มาร่วมกันขจัดความเสื่อม เพราะรัฐใดที่ไม่ขจัดความเสื่อม ถือเป็นรัฐอันตราย”

 

          “วัดปลอดเหล้า” ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่มีขึ้นตั้งแต่ปี 2546 โดยเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ภายใต้การทำงานร่วมกันของคณะสงฆ์และฆราวาสจนเกิดวัดปลอดเหล้าจำนวน 2,564 แห่ง

 

          จากนั้นในปี 2549 กระทรวงมหาดไทยได้แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานโครงการวัดปลอดเหล้าเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาราช โดยมีนโยบายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ดำเนินโครงการวัดปลอดเหล้า ซึ่งใช้จังหวัดนครราชสีมา เป็นจังหวัดต้นแบบ

 

          และผลของวัดที่ปราศจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากทำให้ “วัด” กลับมาเป็นสถานที่ดีงามอันทรงคุณค่าทางศาสนาแล้วยังเป็นการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายผ่านงานพิธีกรรมเช่น งานบวช งานศพ และงานกฐินปลอดเหล้าได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของรายจ่าย รวมถึงการลดต้นทุนผลกระทบด้านอื่นๆ เช่น ปัญหาความรุนแรงความเจ็บป่วย และอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการดื่มแอลกอฮอล์

 

          ซึ่งจากงานวิจัยของโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพทางเศรษฐศาสตร์ พบว่ามูลค่าความเสียหายจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประชาชนไทยทั้งจากด้านสุขภาพ อุบัติภัย อาชญากรรม และผลิตผลในการทำงานสูงถึง 196,000 ล้านบาท/ปี ซึ่งสูงกว่าภาษีสรรพสามิตที่รัฐเก็บได้ถึง 3 เท่าตัว แม้วันนี้ ประเทศไทยจะมีกฎหมายเข้ามาควบคุม “พื้นที่” ห้ามดื่ม ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แล้วก็ตาม

 

          แต่สิ่งสำคัญของการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดผลทางปฏิบัติ นั่นคือความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม เพื่อให้ปริมณฑลของพื้นที่ กลับมีความสำคัญขึ้นอีกครั้ง

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

Update 12-03-52

Shares:
QR Code :
QR Code