เมื่อสังคมมนุษย์เปลี่ยนโฉมหน้า
“ผู้ชาย” พร้อมทำงานบ้าน-เลี้ยงลูก
ท่ามกลางกระแสที่ ผู้หญิง เรียกร้องความเสมอภาค ระหว่าง ความเป็น หญิง และ เป็นชาย ไม่ให้มีช่องว่างห่างกันมาก จน เกิดเป็นภาพลักษณ์ว่า “ผู้ชายเป็นฝ่ายได้เปรียบผู้หญิง” ก็ยังมี กระแสที่ “พวกผู้ชาย” เรียกร้องให้ ผู้ชาย ที่ยังมีสถานภาพเอาเปรียบผู้หญิง ได้ลดการเอาเปรียบลงให้หมด เพื่อ จะได้เกิดความเสมอภาพระหว่างเพศที่สมดุลยกัน
เมื่อกลางเดือนที่ผ่าน มูลนิธิเพื่อนหญิง ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรมในเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรง 2553 เปิดตัวแคมเปญ “สองเราเท่าเทียม” เพื่อดูทิศทางของสังคมผู้ชาย ผลปรากฏว่า จากการสำรวจความคิดเห็นของบรรดาผู้ชาย พบว่า ผู้ชายส่วนใหญ่มีความเข้าใจ และ เห็นใจผู้หญิงมากขึ้น
มูลนิธิเพื่อนหญิงได้ทำแบบสำรวจทัศนคติและความคิดเห็นของผู้ชาย ในหัวข้อ “แค่เลิกคิดว่า..ชาย เป็นใหญ่..สิ่งดีๆ ก็เกิดขึ้นได้” ระหว่างวันที่ 17 – 23 ต.ค.2553 โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชายทั้งหมด 1,139 คน จาก 9 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ สุรินทร์ อำนาจเจริญ ชุมพร สมุทรสาคร นครปฐม สมุทรปราการ เชียงใหม่และลำพูน พบว่าทัศนคติของผู้ชาย ในมิติความเสมอภาคหญิงชายนั้นดีขึ้นกว่าอดีตมาก อาทิผู้ชายส่วนใหญ่เห็นว่า การแสดงออกถึงความเป็นชายคือการรักและรับผิดชอบครอบครัวไม่ใช่การดื่มเหล้า โดยกลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยถึงเห็นด้วยอย่างยิ่งในประเด็นนี้กว่าร้อยละ 89.60 และเมื่อถามว่า “ผู้ชายเป็นได้ทั้งผู้นำและผู้ตามในบ้าน ควรรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่ยึดความคิดตัวเองเป็นหลัก” พบว่า มีผู้ชายที่เห็นด้วยและเห็นด้วยอย่างยิ่งสูงถึงร้อยละ 91.90 ส่วนประเด็น “ผู้ชายที่ช่วยทำงานบ้าน เป็นการช่วยกันแบ่งเบาภาระของผู้หญิง และถือเป็นงานของครอบครัว” พบว่า ผู้ชายที่เห็นด้วยและเห็นด้วยอย่างยิ่งกว่าร้อยละ 89.80 และเมื่อถามว่า “ผู้ชายรักเดียว ใจเดียว ซื่อสัตย์กับภรรยาน่ายกย่อง” มีผู้ชายมากถึงร้อยละ 86.90 ที่เห็นด้วยและเห็นด้วยอย่างยิ่ง
และเมื่อถามว่า”ภรรยาไม่ใช่สมบัติของสามี จึงต้องให้เกียรติ ไม่ดุด่า ทุบตี บังคับหลับนอน” ปรากฏว่าเป็นที่น่าดีใจ เพราะกลุ่มตัวอย่างกว่าร้อยละ 82.60 ที่เห็นด้วยและเห็นด้วยอย่างยิ่ง สำหรับคำถามที่ว่า “ผู้ชายต้องเข้ามามีส่วนเลี้ยงดูลูก ไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้หญิงฝ่ายเดียว” พบว่าร้อยละ 89.40 ที่ผู้ชายเห็นด้วยและเห็นด้วยอย่างยิ่ง ส่วนประเด็นการยอมรับความสามารถของผู้หญิง กับคำถามว่า “ความสามารถไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศ ผู้หญิงก็มีความสามารถไม่ด้อยไปกว่าผู้ชาย” นั้นพบว่าผู้ชายกว่าร้อยละ 85.60 ที่เห็นด้วยและเห็นด้วยอย่างยิ่ง
พฤศจิกายน เดือนนี้ ได้รับการสถาปนาให้เป็น เดือนแห่งการ รณรงค์ยุติความรุนแรง จึงนับได้ว่า ด้วยข้อมูลการแสดงความคิดเห็นของบรรดาผู้ชายดังกล่าว น่าจะเป็น ของขวัญ อันล้ำค่าที่จะมอบให้กับฝ่ายหญิง ในช่วง ปลายปี 2553 แล้วต่อเนื่องไปจนถึง 2554 ที่น่าชื่นชมทีเดียว
มีตัวอย่างที่ได้พบในงานสัมมนาของ มูลนิธิเพื่อนหญิง ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
เป็นข้อมูลของ นาย ดำรง เภตรา อดีตเคยเป็น พนักงานขับรถเมล์โดยสาร และ อดีตเคยมองว่า ผู้หญิงเหมือนทาสในเรือนเบี้ย ที่จะต้องอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ชายเท่านั้น
นายดำรง เภตรา อดีตพนักงานขับรถเมล์โดยสาร กทม. ได้เปิดเผยถึงความหลังที่ผิดพลาด ให้ทราบว่า ด้วยความที่เราเคยคิดว่าเราต้องเป็นใหญ่ที่สุดในบ้านจะทำอะไรก็ได้ ภรรยาและลูกต้องเคารพเรานั้น เราคิดผิดอย่างแรง ซึ่งครั้งหนึ่ง ตนมีประสบการณ์อันเลวร้ายที่เป็นคนเคยดื่มเหล้าจัดมาก เงินเดือนที่ได้ต้องเอาไปใช้หนี้จากการดื่ม จนไม่มีเงินให้ลูกและภรรยาเอาไว้ใช้จ่ายในครอบครัว รวมทั้งทะเลาะกับภรรยา ถึงขั้นทำร้ายร่างกาย อาชีพ และ หน้าที่การงานล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง จนต้องขายรถเมล์ ขายเครื่องมือทำมาหากินจนหมดตัว จากนั้นจึงตัดสินใจเลิกเหล้าและนึกถึงครอบครัวมากขึ้น และตอนนี้กลายเป็นคนรักครอบครัว เมื่อก่อนไม่เคยหยิบจับอะไร เอาเปรียบภรรยาตลอด แต่ตอนนี้กลับทำงานบ้านให้ภรรยาทุกอย่างทั้งล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน ทำกับข้าว ซึ่งทำให้ตนรู้ว่าภรรยาสามารถทำหน้าที่แทนเราได้ทุกเรื่อง เป็นหัวหน้าครอบครัวก็ได้ ดังนั้นอย่าคิดว่าตัวเองเราเองจะเป็นใหญ่
“ผู้หญิงทำงานหนักกว่าผู้ชายคือ 12 ชั่วโมงต่อวัน แต่ผู้ชายทำงานเพียง 8 ชั่วโมง เพราะผู้ชายเลิกงานมาแต่ภรรยาก็ต้องทำกับข้าว ซักผ้า รีดผ้า ทั้งๆที่หน้าที่ตรงนี้ สามีก็เป็นฝ่ายทำให้ภรรยาและครอบครัวได้ ดังนั้นสังคมต้องเปลี่ยนทัศนะคติ ไม่มองผู้หญิงเป็นสมบัติทีอยู่ภายใต้คำสั่งของผู้ชาย ซึ่งควรมีความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน และสอนลูก เป็นแบบ อย่างที่ดีให้ลูก”
การเปิดเผยความจริงของ นายดำรง ครั้งนี้ ทำให้เราได้พบเห็นสัจธรรมของชีวิตที่ดีมากทีเดียว
ผู้ชายคนใดที่ยังคิดว่า “ผู้หญิงเป็นช้างเท่าหลัง ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า” ก็น่าที่จะหวนกลับมานั่งคิด นั่งพิจารณากันใหม่ว่า ความคิด และ ความเชื่อต่อทัศนคติเช่นนั้น ถูกต้องแน่หรือ
ลด ละ และ เลิก ต่อความเชื่อเก่าๆ แล้วมาสร้าง ค่านิยมใหม่ที่สร้างความเสมอภาคให้แก่ เพศกันดีกว่า เพื่อ บ้านนี้เมืองนี้จะได้น่าอยู่ และ ที่สำคัญ ครอบครัวของคุณจะเต็มไปด้วยไออุ่นแห่งความเป็นธรรมที่สร้างความสุขสงบให้กับคนทุกคนในครอบครัวอย่างยั่นยืนชั่วกาลนาน
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
Update:10-11-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่