
เมื่อม่านทัศนคติ อาจบดบังความจริง เรื่อง ปัญหาแรงงานข้ามชาติ
ที่มา: งาน “Voice of the Voiceless: รวมพลังหุ้นส่วนสุขภาวะ ก้าวไปด้วยกันอย่างเท่าเทียม” ระหว่างวันที่ 18-19 มิ.ย.68
วันนี้เราอาจต้องยอมรับความจริงที่ว่า แรงงานข้ามชาติเปรียบเสมือนพลังขับเคลื่อนที่กำลังแผ่ขยาย เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างยิ่ง พวกเขาหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจพื้นฐาน และเป็นผู้ใช้แรงงานในภาคส่วนที่คนไทยมักหลีกเลี่ยง หรือที่เรารู้จักกันในนาม “งาน 3D” (Dirty, Dangerous, Difficult) ไม่ว่าจะเป็นผืนดินทางการเกษตร ไซต์ก่อสร้างที่สูงระฟ้า หรือแม้แต่ภาคบริการที่คอยรองรับชีวิตประจำวัน
ท่ามกลางภาวะสังคมสูงวัยและอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง แรงงานข้ามชาติจึงกลายเป็น “กำลังสำคัญที่ไม่อาจปฏิเสธได้” ที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่ไม่อาจมองข้ามได้
แต่บ่อยครั้งที่บทบาทอันสำคัญนี้กลับถูกบดบังด้วย “ม่านแห่งอคติ” และความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในสังคมไทย ซึ่งนำไปสู่ความท้าทายในการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสุขภาพ ที่มักถูกนำเสนออย่างบิดเบือนไปจากความเป็นจริงที่งานวิจัยได้เปิดเผย
หนึ่งในความเคลื่อนไหวจากเวที “Voice of the Voiceless: รวมพลังหุ้นส่วนสุขภาวะ ก้าวไปด้วยกันอย่างเท่าเทียม” คือการเอื้อนเอ่ยถึงประเด็น “แรงงานข้ามชาติ” ที่สะท้อนบางมุมมองที่คลาดเคลื่อนในสังคมไทยไม่น้อย
เริ่มที่ผลการวิจัยจาก ผศ.ดร.อดิศร จันทรสุข มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งสำรวจทัศนคติของคนไทยต่อประชากรกลุ่มต่าง ๆ รวมถึงประชากรข้ามชาติ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ คนหลากหลายทางเพศ และคนไร้บ้าน ได้ให้รายละเอียดที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น พบว่า ภาพเหมารวมยังคงเป็นเรื่องที่น่ากังวล คือ “กลุ่มประชากรข้ามชาติกลับเผชิญกับอคติเชิงนโยบายสูงที่สุด” ซึ่งสะท้อนความคิดแบบชาตินิยมที่มองว่า “เขาคือเขา เราคือเรา” หรือการแบ่งแยก “พวกเรากับพวกเขา” อคติเหล่านี้ยังแสดงออกผ่านพฤติกรรมเลือกปฏิบัติ เช่น ในการจ้างงาน นายจ้างมีความลังเลที่จะจ้างงานประชากรข้ามชาติมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ รวมถึงการให้เช่าบ้านที่กลุ่มประชากรข้ามชาติก็ถูกเลือกปฏิบัติเช่นกัน
ผศ.ดร.อดิศร จันทรสุข มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งภาพเหมารวม กำลังกลายเป็นม่านหมอกที่บดบัง “มนุษย์” คนหนึ่งในระบบนิเวศสังคมหรือไม่?
สุรสักย์ ธไนศวรรยางกูร จากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ได้ชี้ชัดว่าอคติเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ความรู้สึกส่วนบุคคล แต่ยังหยั่งรากลึกไปถึงระดับนโยบาย และยังเสริมว่า “คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยกว่า 80% ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ประชากรข้ามชาติควรมีสิทธิ์ซื้อบ้านและตั้งถิ่นฐานในไทยอย่างถาวร โดยให้เหตุผลว่านี่คือ ‘แผ่นดินของเรา'” ซึ่งสะท้อนแนวคิดแบบชาตินิยมที่ยังคงสร้างเส้นแบ่งที่ชัดเจน และเป็น “อคติที่ฝังรากลึก” ในความรู้สึก “ไม่สบายใจ” ที่ผู้คนมีต่อพวกเขา
อีกหนึ่งผลพวงจากอคติดังกล่าว กำลังกลายเป็น “กำแพงที่มองไม่เห็น” ในเรื่องการกีดกัดสิทธิด้านสุขภาพ ที่วันนี้ประชากรแรงงานข้ามชาติเหล่านี้กำลังถูกตีตราว่าเป็น “ภาระอันหนักอึ้ง”
สุรสักย์ เอ่ยว่า ในมิติของสุขภาพ ประเด็นค่าใช้จ่ายที่แรงงานข้ามชาติใช้บริการทางการแพทย์ได้กลายเป็น “มายาคติ” ที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อโซเชียลมีเดียว่าสร้างภาระมหาศาลให้กับประเทศ รายงานข่าวบางชิ้นถึงกับระบุว่า “ต่างด้าวรักษาฟรีเก็บเงินไม่ได้” หรือตัวเลข 277 ล้านบาทสำหรับค่ารักษาต่างด้าวบริเวณชายแดน
แต่ความจริงที่ถูกเปิดเผยมีตัวเลขที่น่าสนใจว่า “ทั้งประเทศ แรงงานต่างด้าวที่ชำระเงินเอง 78.9% ในกลุ่มจังหวัดชายแดน มีคนที่ไม่สามารถชำระค่าบริการได้เพียง 0.3% เท่านั้น” สิ่งนี้บ่งชี้ว่าภาระที่ถูกกล่าวอ้างนั้นเกินจริงไปมาก โดยจากการวิเคราะห์ข้อมูลจาก 5 แหล่งข้อมูลภาครัฐ พบว่าระบบการจัดการด้านสุขภาพสำหรับแรงงานข้ามชาติมีอยู่แล้ว และมีกลไกการจ่ายเงินที่ชัดเจน การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้องเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ จึงเป็นการสร้างความเข้าใจผิดและตอกย้ำอคติในสังคม
ช่องว่างในระบบ: “กลไกที่ไม่เชื่อมโยง” และอุปสรรคในการเข้าถึง
ปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ระดับนโยบายและการเงินของโรงพยาบาลเท่านั้น แต่ยังลงลึกถึงระดับการเข้าถึงของแรงงาน เสถียร ทันพรม มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลายชี้ว่า “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่แรงงานฝ่ายเดียว แต่อยู่ที่ ‘ระบบที่มีช่องว่าง'” เขาเน้นย้ำว่า แม้จะมีผู้ซื้อประกันจำนวนมาก แต่แรงงานข้ามชาติที่อยู่ในระบบประกันสังคมยังน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะ “ปัญหาหลักของประกันสังคมคือโครงสร้างการจัดการและกฎหมายที่เน้นนายจ้างเป็นหลัก” แรงงานข้ามชาติจำนวนมากเผชิญกับ “ความยุ่งยากและขั้นตอนที่ซับซ้อน” ในการขอเอกสารประกันสุขภาพ เปรียบเสมือนการเดินทางผ่านเขาวงกตที่มองไม่เห็น เกือบครึ่งหนึ่งไม่ทราบถึงสิทธิ์การคุ้มครองสุขภาพที่ตนเองพึงได้รับ และกว่า 30% ไม่ทราบขั้นตอนการเข้าถึงบริการ นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการซื้อประกันยังคงเป็น “ภาระที่บดบังกำลังซื้อ” สำหรับ 1 ใน 3 ของแรงงาน โดยเฉพาะหากมีผู้ติดตามในครอบครัว
แม้แต่นายจ้างส่วนใหญ่เอง แม้จะเห็นความสำคัญของการมีบัตรประกันสุขภาพ แต่ก็ไม่พร้อมที่จะก้าวผ่านความยุ่งยากในการเตรียมเอกสาร ไหนเรื่องการสื่อสารที่ขาดความชัดเจนและปัญหาด้านภาษายิ่งทำให้ “อุปสรรคหนาแน่นขึ้น” และบดบังการรับรู้ของทั้งสองฝ่าย
ไปจนถึงระบบที่ขาดการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกระทรวงแรงงาน ประกันสังคม และสาธารณสุข จึงเป็นเหมือน “กลไกที่ไม่เชื่อมถึงกัน” ทำให้การติดตามและดูแลแรงงานข้ามชาติเป็นไปอย่างยากลำบาก และเกิดความเปราะบางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทางเลือกสู่หลักประกันสุขภาพที่ครอบคลุมและเป็นมนุษยธรรม
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ก็ยังมี “แสงสว่างนำทาง” ที่เป็นแนวทางสู่การสร้างระบบหลักประกันสุขภาพที่โปร่งใสและครอบคลุมสำหรับแรงงานข้ามชาติ:
ข้อเสนอแนะจำ เสถียรพร้อมด้วย กัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม และรองประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมองเรื่องสุขภาพแบบองค์รวม ไม่ใช่แค่การรักษา แต่ควรรวมถึงการป้องกัน การคัดกรอง และการส่งเสริมสุขภาพด้วย และยังชี้ให้เห็นว่าที่ผ่านมา นโยบายรัฐไม่ได้เน้นการทำงานเรื่องแรงงานข้ามชาติเป็นเชิงรุกแต่ “เราเป็นเชิงตั้งรับตลอดเวลา” และเสนอว่า “ควรต้องเริ่มตั้งแต่การรับเขาเข้ามา ก่อนจะรับเขาเข้ามาทำงานในประเทศไทย จำเป็นจะต้องมีระบบที่จะรับ”

พร้อมกันนี้ กัณวีร์ ได้กล่าวเสริมถึงประสบการณ์ที่น่าสนใจจากต่างประเทศว่า
“มีอยู่ประเทศหนึ่งและขอเอ่ยชื่อเลยว่าเวลาแรงงานไทยไปทำงานในประเทศเขา เขาจับตรวจสุขภาพหมดเลย ตรวจอีกรอบหนึ่งหลังจากที่มีใบรับรองแพทย์ของประเทศไทยแล้ว ปรากฏว่าถูกส่งกลับประมาณ 20 กว่าราย” เขามองว่านี่เป็นตัวอย่างของการจัดการเชิงรุกตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งประเทศไทยควรนำมาพิจารณา
การแก้ไขปัญหาแรงงานข้ามชาติไม่ใช่เพียงแค่การจัดการตัวเลขหรือภาระค่าใช้จ่าย แต่เป็นการสร้าง “ระบบนิเวศ” ที่คำนึงถึงมนุษยธรรม เศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีระหว่างประเทศ การสลาย “ม่านแห่งอคติ” และสร้าง “ระบบที่โปร่งใสและเป็นธรรม” ทั้งจะเป็นก้าวสำคัญในการนำพาประเทศไทยไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุม เพื่อให้ทุกคนที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ ไม่ว่าจะมาจากที่ใดก็ตาม ได้รับสิทธิ์ขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น