เมือง 3 ดี พื้นที่สร้างสรรค์สำหรับเยาวชนไทย
ที่มา : ปลุกพลังเปลี่ยนไทย
ภาพจากเครือข่ายเพชรบุรีดีจัง
สำหรับเมือง 3 ดี หัวใจของงาน คือ เด็กต้องเป็นคนที่ลงมือทำและสร้างการเปลี่ยนแปลง คนที่มาร่วมงานจะเห็นภาพของเด็กที่เป็นคนสื่อสาร เตรียมงาน จัดการแสดงต่างๆ
เด็กวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า นี่คือความจริงที่ทุกคนรู้ แต่ถ้าลองหันไปรอบๆ แล้วมองโลกนี้ด้วยสายตาที่เป็นจริงถามว่าเราได้เตรียมเด็กๆ ของเราให้พร้อมที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีแล้วหรือยัง โดยเฉพาะเรื่องของสื่อที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการหล่อหลอมเด็กและเยาวชน นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ เข็มพร วิรุณราพันธ์ ผู้จัดการ สถาบันสื่อเด็กและเยาวชน (สสย.) ได้เริ่มทำงานเพื่อส่งเสริมให้เกิดสื่อและพื้นที่ดีๆ สำหรับเยาวชน จนนำไปสู่โครงการเมือง 3 ดี ที่แพร่กระจายไปยังหลายชุมชนทั่วไทย
คุณเข็มพร ได้เล่าถึงที่มาของสถาบันสื่อเด็กและเยาวชน หรือชื่อย่อว่า สสย. ที่หลายคนรู้จัก ว่ามีที่มาจากความตระหนักถึงความสำคัญของสื่อซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการสร้างสุขภาวะที่ดีให้กับเยาวชน โดยเริ่มจากการเป็นแผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.) ที่ได้ทุนสนับสนุนจาก สสส. แล้วค่อยตั้งเป็นมูลนิธิที่ทำด้านสื่อเด็กและเยาวชนโดยเฉพาะ
“ช่วงแรกๆ เรามุ่งไปที่การจัดระบบสื่อว่ามีกฎหมายอะไรบ้างที่ยังขาดอยู่ มีการรณรงค์ให้เกิดพื้นที่ของสื่อดี โทรทัศน์ดี เช่น ปัญหาการโฆษณาที่มีผลกระทบต่อเด็ก มีการผลักดันกฎระเบียบหลายด้านในเชิงโครงสร้าง แต่เมื่อทำงานมาสักระยะหนึ่ง เรากลับพบว่าคำว่า ‘สื่อ’ นั้นกินความกว้างกว่าสื่อกระแสหลัก เพราะช่วงแรกๆ เรามองแค่ โทรทัศน์ วิทยุ สื่อออนไลน์ แต่สื่อในมิติของชุมชน ตัวเด็กเองเขาก็สามารถเป็นสื่อ หรือคนที่เป็น role model บุคคลในสังคม ก็สามารถเป็นปัจจัยแวดล้อมเรื่องระบบสื่อของเด็กได้”
เมื่อได้ข้อสังเกตดังนั้น ทางสสย.จึงเริ่มทำงานกับชุมชน โดยชักชวนองค์กรภาคีต่างๆ ที่ทำงานด้านนี้ มาพัฒนาปัจจัยแวดล้อมเพื่อเอื้อให้ระบบสื่อในชุมชนนำไปสู่พื้นที่สร้างสรรค์สำหรับเด็ก ทั้งตัวแทนชุมชนจากภาคเหนือ ใต้ กลาง อีสาน รวมทั้งในกรุงเทพฯ เช่น ชุมชนแออัด หรือเรื่องของแรงงานเด็ก
“พอทำงานไปสักระยะหนึ่งก็มีการถอดบทเรียน จนเราได้ปัจจัยหลักว่าเวลาที่เราทำงานด้านนี้ จะต้องมีองค์ประกอบเรื่อง สื่อดี พื้นที่ดี และภูมิดี ตรงจุดนี้ก็เลยเป็นเหมือนกลยุทธหรือเครื่องมือหลักที่เราใช้ทำงาน เราเรียกง่ายๆ ว่า 3 ดี ซึ่งเป็นหลักการที่สามารถนำไปขยายให้ชุมชนรอบๆ เข้าใจว่า ถ้าเราใช้เครื่องมือหรือกลยุทธ 3 ตัวนี้ในการทำงาน ก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน โดยมีหัวใจหลักอยู่ที่ว่า เด็กคือผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง”
จากที่ได้ฟังมา จึงทำให้เราเข้าใจได้ว่า โครงการเมือง 3 ดี นั้น ไม่ได้เป็นโครงการที่เกิดขึ้นในที่ใดที่หนึ่ง แต่จะเป็นการทำงานเป็นเครือข่าย มีการจัดมหกรรมเพื่อเปิดพื้นที่การสื่อสาร เช่น งานเพชรบุรีดีจัง งานอุตรดิตถ์ติดยิ้ม ที่เป็น festival ของแต่ละพื้นที่ โดยแต่ละชุมชนสามารถมาเรียนรู้การทำงานซึ่งกันและกันได้
“แต่ละจังหวัด แต่ละชุมชน เขาก็จะมีกิจกรรมของตัวเอง แต่ละที่ก็จะมีดีคนละรูปแบบ ถ้าเป็นการเคลื่อนในมิติของชุมชนระดับจังหวัด ที่น่าสนใจก็คือ เครือข่ายเพรชบุรีดีจัง ที่เริ่มต้นจากกลุ่มเล็กๆ เป็นกลุ่มเด็ก ที่ชื่อกลุ่มลูกหว้า น้องๆ เขาทำพวงมะโหตร ที่เป็นกระดาษตัดคล้ายๆ โมบาย ซึ่งเป็นศิลปะท้องถิ่นให้กับนักท่องเที่ยวแถวเขาวัง ต่อมาเราก็คุยกันว่าควรขยายให้เด็กมีพื้นที่ของเขามากขึ้น มีหลายหน่วยงานเข้าไปช่วยให้เกิดการฟื้นฟูชุมชนเป็นถนนแห่งการเรียนรู้ มีบ้านที่ลุกขึ้นมาเปิดพิพิธภัณฑ์เป็นของตัวเอง มีการจัดมหกรรมให้เห็นว่า เด็กได้เข้ามามีส่วนร่วม ได้ลงมือทำของดีในชุมชน เช่น หนังใหญ่ ศิลปะหุ่นคน ก็เอาเข้ามาแสดงในพื้นที่ตรงนั้น”
โดยทั่วไป การจัดงานต่างๆ ย่อมมีที่มาและแก่นของงานที่แตกต่างกัน แต่สำหรับเมือง 3 ดี หัวใจของงาน คือ เด็กต้องเป็นคนที่ลงมือทำและสร้างการเปลี่ยนแปลง คนที่มาร่วมงานจะเห็นภาพของเด็กที่เป็นคนสื่อสาร เตรียมงาน จัดการแสดงต่างๆ จนกลายเป็นงานพื้นที่นี้ดีจังของแต่ละอำเภอในเพชรบุรี และเป็นสัญลักษณ์ว่าแต่ละปีจะมีงานใหญ่ เป็นสิ่งที่วัฒนธรรมจังหวัด เทศบาล ผู้ว่าฯ เข้ามาสนับสนุน แม้ว่าจะเปลี่ยนผู้ว่าฯ ไปหลายสมัย แต่งานนี้ก็ยังคงอยู่ และสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับจังหวัดอื่นๆ พื้นที่อื่นๆ ที่นำแนวความคิดนี้ไปทำในพื้นที่ของตัวเองในบริบทที่แตกต่างกั
นอกจากนี้ ก็ยังมีตัวอย่างพื้นที่ที่ใช้แนวคิดเมือง 3 ดี เข้าไปส่งเสริมความเข้มแข็งให้กับกลุ่มเยาวชน จนสามารถพัฒนาชุมชนให้ดีขึ้นได้ในหลายๆ ด้าน เช่น พื้นที่ทางภาคใต้ที่มีความขัดแย้งทางศาสนา เมื่อมีเด็กเป็นตัวเชื่อมประสาน เป็นพลังบริสุทธิ์ เด็กจะเป็นตัวดึงพ่อแม่ คนที่มีความแตกต่างมาพูดคุยกัน หรือชุมชนที่มีปัญหายาเสพติด การพนัน พอเป็นพื้นที่ของเด็ก เรื่องไม่ดีเหล่านี้ก็จะค่อยๆ หายไป ชุมชนมีค่านิยมใหม่ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ควรทำ ไม่ได้รับการยอมรับ เด็กก็จะไม่เห็นภาพเหล่านั้นทุกวันจนกลายเป็นสื่อที่เขาเคยชิน
จากประสบการณ์ในการทำงานกับเด็กมาเป็นเวลานาน ทำให้คุณเข็มพร เข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของเด็ก และนำไปสู่การทำงานที่ส่งเสริมให้เด็กเป็นศูนย์กลางของชุมชน ทำให้เด็กๆ สามารถแสดงออกถึงตัวตนที่มีคุณค่าของเขาได้ในหลากหลายรูปแบบ ไม่ใช่ในแบบที่สื่อกระแสหลัก หรือที่ผู้ใหญ่เป็นคนกำหนด
“ที่ผ่านมาเวลาหน่วยงานหรือผู้ใหญ่จัดกิจกรรมแก้ปัญหา เด็กจะเป็นเพียงองค์ประกอบเล็กๆ ผู้ใหญ่จะพูดว่าเด็กควรเป็นแบบไหน เวลาไปโรงเรียนเด็กก็จะถูกวางกรอบให้ทำตาม เด็กดีคือเด็กที่ครูยอมรับเพราะเขาเรียนเก่ง เชื่อฟังครู แต่เด็กที่คิดนอกกรอบ หรือมีความสามารถอื่นๆ ที่ไม่ใช่รูปแบบที่ครูหรือสังคมกำหนด ก็จะไม่ได้รับการยอมรับหรือเห็นคุณค่า ซึ่งขัดแย้งกับพัฒนาการของเด็ก เพราะหัวใจสำคัญของเด็กคือต้องการการยอมรับ ต้องการให้คนเห็นคุณค่า เห็นถึงอัตลักษณ์ที่แตกต่างจากคนอื่นๆ แต่ผู้ใหญ่มักจะมีกรอบมีภาพความคิดว่า ต้องทำแบบนี้ถึงจะได้รับการยอมรับ”
ปัจจัยที่สำคัญอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว ก็คือสื่อกระแสหลัก ที่เป็นตัวสะท้อนค่านิยมของสังคมที่มีต่อเด็กและเยาวชน ดังนั้น ถ้าไม่มีการสร้างพื้นที่ใหม่ๆ ให้กับเด็กและเยาวชนให้มีความหลากหลายมากขึ้น ความแตกต่างที่ไม่ได้รับการยอมรับของเด็กเหล่านี้ก็จะถูกสังคมตอกย้ำว่าเป็นปัญหา ทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่เลย
“สื่อจะเป็นคนไปตอกย้ำว่า คนที่ประสบความสำเร็จหรือได้รับการยอมจากพื้นที่ของสื่อจะต้องเป็นเด็กแบบนี้ หน้าตาดี เป็นดารา ร้องเพลงเก่ง มีไม่กี่แบบ ดังนั้นเด็กที่มีความแตกต่างจากคนอื่น ก็จะถูกบีบให้ไปอยู่ในมุมที่สังคมบอกว่าเป็นปัญหา ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วคือธรรมชาติของเด็ก แต่เรากลับมองว่าเป็นเด็กที่มีปัญหา เด็กที่ไม่มีพื้นที่ในการแสดงออกต้องไปหาพื้นที่ของเขาเอง ก็อาจถูกสังคมตัดสิน ลงโทษว่าทำผิดระเบียบ ผิดกฎหมาย ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นปัญหาของผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจพัฒนาการ ไม่ให้เขาได้มีส่วนร่วมตามพัฒนาการของเขาซึ่งเขาต้องการมากๆ เพื่อการเจริญเติบโต และไม่มีพื้นที่รองรับที่หลากหลายพอ กลับกลายเป็นว่ามีพื้นทีสำหรับเด็กไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่สังคมยอมรับและเปิดโอกาสให้ ตัวเด็กเองก็ต้องแข่งขันกัน นี่คือที่มาของปัญหาทั้งหมด”
ติดตามข้อมูลโครงการเมือง 3 ดี ได้ที่ http://samdee.org/