เผยผลสำรวจ ปชช.เกินครึ่งไม่เห็นด้วยป้อง กทม.ชั้นในพ้นอุทกภัย
ปิดผลสำรวจหลังน้ำลด พบประชาชนเกินครึ่ง ไม่เห็นด้วยกับการป้องกันกรุงเทพฯ ชั้นในแห้ง ส่วนใหญ่รู้การเตรียมพร้อม เฝ้าระวัง/รับมือ สุดปลื้ม ทหารช่วยน้ำท่วมเต็มที่ คนปทุมให้คะแนนองค์กรปกครองท้องถิ่นช่วยเหลือดีสุด แนะข้อเสนอถึงรัฐบาล ส่งเสริมศักยภาพท้องถิ่น-เพิ่มช่องทางรับรู้-สื่อมวชนมีบทบาทสร้างความเข้าใจในสังคม
เมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) แผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.) จัดแถลงข่าว “รายงานผลแบบสำรวจความคิดเห็นประชาชน การจัดการอุทกภัยที่เกิดขึ้นในเขต กทม. และปริมณฑล ปี พ.ศ. 2554” โดย ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด ผู้อำนวยการแผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.) กล่าวว่า การสำรวจความคิดเห็นประชาชนในการจัดการอุทกภัยในเขตกทม.และปริมณฑล ปี 2554 เพื่อนำไปสู่มาตรการและวิธีการจัดการน้ำท่วม และแนวทางจัดการปัญหาน้ำท่วมในอนาคต โดยได้สำรวจความคิดเห็นจากประชาชน 3,048 คน แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 2,154 คน,จ.นนทบุรี 465 คน และ จ.ปทุมธานี 429 คน พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่อาศัยในกรุงเทพฯ 52.7% น้ำไม่ท่วมที่อยู่อาศัย ขณะที่ผู้ที่อาศัยในจ.นนทบุรี และจ.ปทุมธานี 75% น้ำท่วมที่อยู่อาศัยแต่ไม่เข้าตัวอาคาร โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการป้องกันน้ำท่วมพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน โดยคนกรุงเทพฯ เห็นด้วยเพียง 44.8% ชาวปทุมธานี เห็นด้วย 50.3% และชาวนนทบุรี เห็นด้วยเพียง 32.3%
ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ กล่าวว่า เมื่อถามถึงการรับรู้ต่อมาตรการและวิธีจัดการน้ำท่วมในท้องถิ่น พบว่า การเฝ้าระวังและเตือนภัยเป็นสิ่งที่กลุ่มตัวอย่างมีความรับรู้มากกว่า 50% มาตรการดูแลระหว่างน้ำท่วม มีความรับรู้ประมาณ 20-30% มาตรการเตรียมรับมือน้ำท่วม มีการรับรู้ 10-16% และมีกลุ่มตัวอย่างเพียง 5% ที่ไม่รับรู้ถึงการเตรียมการใดๆ เลย สำหรับความเห็นในเรื่องหน่วยงานที่ให้การดูแลประชาชน กลุ่มตัวอย่างในกรุงเทพฯ และนนทบุรี เห็นตรงกันว่าหน่วยงานทหารมีประสิทธิภาพในการดูแลประชาชนมากที่สุด ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างในจ.ปทุมธานี มีความเห็นว่าองค์ปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีประสิทธิภาพในการดูแลประชาชนมากที่สุด ทั้งนี้ ประชาชนรับรู้ข่าวสารจากสื่อโทรทัศน์มากที่สุด และกลุ่มตัวอย่างใน จ.ปทุมธานี รับรู้ข่าวสารทางตรงจากเสียงตามสาย รถกระจายเสียงรองจากสื่อโทรทัศน์
สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาในอนาคต กลุ่มตัวอย่างมากว่า 60% เห็นด้วยกับมาตรการด้านการลงทุนและก่อสร้าง เช่น สร้างระบบแก้มลิง ระบบระบายน้ำขนาดใหญ่ และระบบคลองย่อย ขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่เหลือ เห็นด้วยกับมาตรการที่ไม่ใช้การลงทุนก่อสร้าง เช่น การควบคุมการใช้ที่ดิน การจัดการความขัดแย้ง และการจัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาดูแลปัญหาน้ำท่วมอย่างบูรณาการ โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 35-49% ไม่ต้องการจ่ายเงินในการสนับสนุนการก่อสร้างเพื่อป้องกันน้ำท่วม แต่เห็นด้วยกับแนวทางการระดมทุน และรับบริจาค ในขณะกลุ่มตัวอย่างเพียง 1-5% เห็นด้วยกับการหารายได้ด้วยการจัดเก็บจากผู้ที่ได้รับการป้องกันน้ำท่วม ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างมากกว่า 55% เห็นว่า ภาครัฐควรให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามหลักเกณฑ์ที่ว่า ผู้ที่ถูกน้ำท่วมนานกว่าควรได้รับการสงเคราะห์มากกว่า
ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ กล่าวว่า ข้อเสนอแนะจากการสำรวจ คือ 1.รัฐบาลให้ความสำคัญกับการสนับสนุน อปท.ให้มีบทบาทสูงในด้านการรับมือกับอุทกภัย ด้วยการสนับสนุนการเตรียมการป้องกันน้ำท่วมในระดับท้องถิ่นให้มากขึ้น เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในระดับพื้นที่ที่ใกล้ตัวประชาชนมากที่สุด 2.รัฐบาลควรให้ความรู้ความเข้าใจถึงความสำคัญในการป้องกันพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน ว่าไม่ใช่เป็นเรื่องของเศรษฐกิจ แต่เป็นเรื่องของการคุ้มครองชีวิตคน 5-6 ล้านคน 3.เพิ่มช่องทางการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับน้ำท่วมนอกจากโทรทัศน์ โดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกล เช่น การส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือการสื่อสารโดยตรง เป็นต้น และ 4.สื่อมวลชนควรให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องมาตรการป้องกันน้ำท่วม โดยเฉพาะมาตรการที่ไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง เช่น การควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดี การออกข้อบัญญัติของ อปท. ในการควบคุมอาคารในเขตน้ำท่วมซ้ำซาก เน้นการสร้างความร่วมมือของคนในชุมชนเพื่อลดความขัดแย้ง นอกเหนือจากให้ความสำคัญเรื่องสิ่งก่อสร้าง
ที่มา:สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ