เปิดโรงเรียนต่ออายุงาน `วัยเกษียณ`
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย อย่างที่หลายคนคาดไม่ถึง โดยเฉพาะ ในระดับท้องถิ่น ที่การส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนชรายังไปไม่ถึง จึงเกิดปัญหาต่าง ๆ สำหรับนโยบายของภาครัฐ ตอนนี้มีแนวทางสร้างโรงเรียนผู้สูงอายุในระดับตำบล เพื่อดูแลคนชราในทุกด้าน
สมคิด สมศรี อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ ชี้แจงถึงแนวคิดว่า สถานการณ์ผู้สูงอายุในไทย ตอนนี้น่าเป็นห่วง ด้วยเราเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุนานแล้ว โดยในปี 2564 จะมีประชากรผู้สูงอายุ กว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ในประชากรทั้งหมดของประเทศ ส่วนปี 2583 ประเทศไทย จะมีประชากรผู้สูงอายุมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน จึงทำให้ภาครัฐ ต้องวางแผนเรื่องนี้ เพื่อเป็นนโยบายแห่งชาติ ในระยะยาวในระยะยาว
ที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยมียุทธศาสตร์ผู้สูงอายุ ตอนนี้ได้วางแผนเป็นยุทธศาสตร์แห่งชาติครั้งแรก โดยปี 2561 นโยบายเหล่านี้ จะมีความเข้มข้นมากขึ้น ตอนนี้ผู้สูงอายุแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ ติดสังคม, ติดบ้าน ที่มีอาการป่วย, ติดเตียง ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ ในปี 2570 จะน่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะโรงพยาบาลไม่สามารถรองรับผู้ป่วยสูงอายุได้เพียงพอ เฉพาะวันนี้ มีผู้สูงอายุที่ป่วย สำรวจได้ประมาณ 2 ล้านคน ซึ่งในกลุ่มผู้สูงอายุที่ป่วย ถ้าเราไม่ทำอะไรในอนาคต จะมีผู้ป่วยที่เป็นคนชราล้นโรงพยาบาล
ตอนนี้หลายโรงพยาบาลเริ่มออกนอกระบบมากขึ้น เพราะด้วยประชากร ผู้สูงอายุเข้าไปใช้มาก ทำให้ค่าใช้จ่ายมี มากขึ้น หลายโรงพยาบาลเกรงว่าจะอยู่ไม่ได้ ตัวอย่าง โรงพยาบาลชลประทาน ที่ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ สนับสนุนอยู่ ต้องรองรับผู้สูงอายุที่อยู่ในบ้านพักสงเคราะห์เป็นจำนวนมาก ทำให้โรงพยาบาลต้องรับภาระรักษาฟรีต่อผู้ป่วยเหล่านี้ ไม่ต่างจากโรงพยาบาลรัฐอื่น ๆ ถ้ายิ่งมีผู้ป่วยสูงอายุมาก โรงพยาบาลเหล่านั้นยิ่งประสบปัญหามากขึ้น โดยเฉพาะปี 2570 ถ้าไม่มีการแก้ไข โรงพยาบาลจะรับภาระไม่ไหว
จึงวางนโยบายช่วยเหลือ เพราะจากการสำรวจผู้สูงอายุมีความต้องการด้านเศรษฐกิจ 34.6 เปอร์เซ็นต์ อยากทำงาน เพราะถ้าให้ผู้สูงอายุอยู่บ้าน ไม่มีสังคม จะทำให้ป่วยเร็วขึ้น นำไปสู่การเสียชีวิต กลุ่มต่อมา สุขภาพ ที่ต้องส่งเสริมให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เข้ามามีส่วนจัดการมากขึ้น โดยเริ่มต้นมีการจัดการใน 50 เขต ของกรุงเทพฯ ในการตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุ
เพราะตอนนี้ เงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ ที่อยู่กับหน่วยงานท้องถิ่นมีอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งยังติดกฎหมาย ทำให้ท้องถิ่นต้องนำเงินไปใช้ในสิ่งที่จำเป็นเบื้องต้นก่อน เช่น น้ำท่วม ขณะที่เงินอีกส่วน เป็นของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ดูแลผู้สูงอายุที่ป่วยติดเตียง
แนวคิดโรงเรียนผู้สูงอายุ จะอยู่ในศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) ที่มีทั่วประเทศ 878 แห่ง ซึ่งในงบประมาณการทำกิจกรรมมีการแก้กฎหมาย เพื่อให้ท้องถิ่นนำงบประมาณที่มีอยู่ ซึ่งได้จากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รวมถึงเงินทุนจากกรมกิจการผู้สูงอายุ มาร่วมกันทำโรงเรียนผู้สูงอายุในท้องถิ่น เพื่อสร้างกิจกรรมด้านการฝึกอาชีพ ที่ช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ สุขภาพ และ สังคม ให้โรงเรียนผู้สูงอายุ เกิดขึ้นใน ท้องถิ่นทั่วประเทศ
ตอนนี้มีการแก้กฎการของบประมาณของ สปสช. ที่นำมาใช้ในโมเดลโรงเรียนผู้สูงอายุ และกำลังแก้กฎของบประมาณของกองทุนผู้สูงอายุ ที่แต่ก่อนจะให้งบประมาณแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีการแก้ไข ให้สามารถของบประมาณได้เพิ่มขึ้น 40 – 50 เปอร์เซ็นต์ ในกรณีที่คนนอกของบประมาณ
สำหรับคนทำงาน ในโรงเรียนผู้สูงอายุผ่าน ศพอส. จะทำงานผ่านสภาผู้สูงอายุในท้องถิ่น ตอนนี้มี 27,000 ชมรมทั่วประเทศ มีอาสาสมัครกว่า 80,000 คน ซึ่งถ้ารวมกับข้าราชการเกษียณอายุที่อยากทำงานอยู่ในท้องถิ่นมาช่วยกันทำ โดยกรมกิจการผู้สูงอายุจะออกคำสั่งให้บุคคลทำงานมีกรอบในการดำเนินการ
เบื้องต้นโรงเรียนผู้สูงอายุ ปลายปีนี้จะเริ่มทำในศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) 878 แห่ง ส่วนปีหน้า จะทำเพิ่มอีก 1,700 กว่าแห่ง ที่อยู่ในความดูแลของ สปสช. พอเข้าปีที่ 3 จะทำในอีก 3,000 ตำบล คาดว่า ใน 5 ปี โรงเรียนผู้สูงอายุจะครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเงินทุนสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ จะลงไปอุดหนุนอยู่ตลอด เพื่อให้มีกิจกรรมที่ครอบคลุมทุกด้าน
และจะมีการทำบันทึกข้อตกลง เอ็มโอยู กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่า แล้วเสร็จวันที่ 21 พฤศจิกายนนี้ หลังจากนั้น จะมีกระบวนการสร้างคณะทำงาน ที่มีการ ตั้งศูนย์อบรม และร่วมมือกับบุคลากรในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือ โดยเฉพาะกองทุนการออม ที่ต้องมีส่วนในการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือ โดยเฉพาะกองทุนการออม ที่ต้องมีส่วนในการวางแผนก่อนที่บุคคลเหล่านั้นจะเข้าสู่วัย ผู้สูงอายุด้วย
ตอนนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่งที่ยังไม่มี ศพอส. เริ่มเข้ามาคุยกับทางกรม เพื่อจัดตั้งศูนย์ภายในตำบลของตัวเอง จะได้ง่ายต่อการทำงาน และจัดกิจกรรมกับผู้สูงอายุภายในท้องถิ่น สิ่งนี้จะทำให้มีหน่วยงานที่ดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น และทั่วถึงทุกด้าน