เปิดเทอมใหม่ หัวใจ(พ่อแม่)ว้าวุ่น
ย่างก้าวเข้าเดือนพฤษภาคมทีไร พ่อแม่ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานย่างเข้าสู่วัยเรียน คงต้องเริ่มปวดกะบาลกันอีกเป็นแน่ เพราะเป็นช่วงเวลาของการ “เปิดเทอม” ช่วงเวลาสำคัญแห่งการ “สูบเงิน สูบทอง” ออกจากกระเป๋ามากกว่าทุกๆ เดือน เพราะไหนจะต้องเตรียมควักกระเป๋าซื้อ ทั้งหนังสือ กระเป๋า รองเท้า ชุดนักเรียนแล้วยังจะมีค่าเทอมที่แพงขึ้นทุกวัน ยิ่งปีนี้ต้องรัดเข็ดขัดกันแบบสุดๆ เพราะจะต้องแบกภาระกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ชนิดที่ตรงข้ามกับเงินเดือน ไหนจะต้องเจอกับภาวะเศรษฐกิจแบบอะไรๆ ก็ขึ้นราคา บางรายมีเงินพอใช้จ่ายก็ดีไป แต่รายที่เงินไม่พอใช้ก็ต้องหาทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกได้ไปโรงเรียน….
แต่นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายแล้ว สิ่งที่เพิ่มความเครียด ความวิตกกังวลให้กับพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ไม่แพ้กันก็คือ “สวัสดิภาพของตัวเด็กในช่วงที่อยู่ในรั้วโรงเรียน” ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา ที่อาจจะก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตบุตรหลาน อีกทั้งเชื้อโรคต่างๆ ทั้งที่กำลังแพร่ระบาดและง่ายต่อการติดเชื้อแล้ว การอยู่ร่วมกับเพื่อนๆ จำนวนมากอาจทำให้เด็กติดเชื้อได้ง่าย หรือแม้กระทั้งช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝน มักมีสัตว์พิษออกมาปรากฏให้เห็น ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อตัวเด็กได้ หากถูกกัดหรือต่อย ประกอบกับความซุกซนและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเด็ก โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่จำเป็นต้องดูแลเอาใจใส่มากกว่าเด็กทุกวัย
!!! จุดเสี่ยง…ภัยร้ายทำลายลูกคุณ !!!
ความซุกซนตามประสาของวัยเด็ก เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเกิดอุบัติเหตุในเด็ก ครู อาจารย์หรือผู้ดูแล จึงจำเป็นต้องดูแลอย่างใกล้ชิด หากแต่จะมองว่าจุดไหนบ้างที่อันตราย จะได้เฝ้าระวังให้มากนั้น มันก็อาจจะเป็นไปได้ในทุกๆ จุดในโรงเรียน แต่ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศเตือนมา ที่ถือว่าอันตรายมาก ซึ่งผู้บริหาร ครูและผู้ดูแล ควรช่วยกันสอดส่องดูแล และตรวจสอบแก้ไขอย่างใกล้ชิดนั้น เริ่มที่ “ประตูโรงเรียน” อย่างที่เคยเป็นข่าวคราวน่าสลดใจมาแล้ว ที่ประตูโรงเรียนล้มทับเด็กอนุบาลเสียชีวิต ที่ จ.อุบลฯ คงไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับลูกหลานตัวเองเป็นแน่ ฉะนั้นผู้ดูแลควรมีการตรวจสอบประตูโรงเรียนให้อยู่ในสภาพมั่นคง แข็งแรง หากพบว่าชำรุดควรรีบซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่ทันที
ต่อมา “เครื่องใช้ไฟฟ้า” ในที่นี้อาจหมายถึงปลั๊กไฟ ควรที่จะติดตั้งไว้บนที่สูงให้พ้นมือเด็ก ด้วยวัยที่กำลังอยากรู้อยากลอง เด็กอาจเอานิ้วไปแหย่เล่น จนเป็นเหตุให้ถูกไฟดูดได้ และที่สำคัญบริเวณตู้ดื่มน้ำ ควรหมั่นตรวจสอบเพราะบริเวณนี้มักเกิดกระแสไฟฟ้ารั่วหรือไฟฟ้าช็อต อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตเด็กได้ “โต๊ะ เก้าอี้” ก็เช่นกัน หากมีตะปูแหลมคมยื่นออกมา เด็กไม่สังเกตเห็น อาจได้รับบาดเจ็บจากการถูกตะปูตำหรือเกี่ยวได้ อีกทั้งไม่ควรให้เด็กขึ้นไปยืนหรือนั่งบนโต๊ะ เพราะอาจตกลงมาได้รับบาดเจ็บ ครูอาจารย์ควรดูแลอย่างใกล้ชิด
อีกหนึ่งจุดที่อันตราย และมักจะเป็นที่วิ่งเล่นของเด็กหลายๆ คน นั่นคือ “บันไดทางขึ้น-ลง” ซึ่งเป็นบริเวณนี้เป็นพื้นยกระดับ หากเด็กล้มหรือลื่น อาจได้รับอันตรายร้ายแรงได้ ซึ่งคาดว่าบันไดนั้น น่าจะมีกันเกือบแทบทุกโรงเรียน ควรตรวจสอบความแข็งแรงอยู่เสมอ “สนามเด็กเล่น” เป็นจุดเสี่ยงอันตรายที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกับเด็กมากที่สุด เพราะเป็นบริเวณที่มีเครื่องเล่นต่างๆ มากมาย หากเล่นผิดวิธีหรือชำรุด อาจทำให้เด็กได้รับอันตรายได้ โดยเฉพาะเครื่องเล่นที่หมุน เคลื่อนที่หรือโยกได้ ต้องมีที่ยึดจับให้มั่นคง เช่น ลูกโลก ชิงช้า ควรมีการตรวจสอบเครื่องเล่น อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ส่วนสถานที่ควรจัดเป็นสัดส่วนและทำรั้วล้อมรอบ
และที่สำคัญนั้น เด็กอาจหลบหนีเข้าไปเล่น โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแล ดังนั้นควรจะจัดให้มีเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างใกล้ชิด หากมีเหตุฉุกเฉินจะได้ช่วยได้ทันท่วงที “สนามกีฬา” ก็เป็นอีกหนึ่งที่ที่อันตราย หากมีหลุม มีบ่อ หรือมีเศษวัสดุของมีคม อาจทำให้เด็กได้รับอันตรายได้ โดยเฉพาะหากปล่อยให้หญ้าขึ้นรก อาจเป็นที่อาศัยของสัตว์มีพิษได้
นอกจากนี้ ยังมีจุดเสี่ยงอื่นๆ รอบโรงเรียนที่อาจเป็นอันตรายต่อตัวเด็กได้ อย่าง “บ่อน้ำ” และ “อาคารที่กำลังก่อสร้าง” หากมีบริเวณนี้ อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวเด็กจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากไม่ป้องกันให้ดี ควรมีป้ายติดประกาศเตือน หรือมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลมิให้เด็กเข้าไปบริเวณนั้นเป็นอันขาด เพราะอาจมีวัสดุ อุปกรณ์ร่วงลงมาจากอาคารที่กำลังสร้างหรือพลัดตกบ่อน้ำได้
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงจุดใหญ่ๆ ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุต่อเด็กเพียงเท่านั้น ยังมีจุดเล็กๆ น้อยๆ อื่นๆ อีก เช่นบริเวณหน้าโรงเรียนโดยเฉพาะในช่วงเช้าและช่วงเย็นที่มีปริมาณรถหนาแน่นมาก ควรเอาใจใส่ดูแลระบบการจราจรบริเวณหน้าโรงเรียนเป็นพิเศษ โดยจัดครูดูแลความปลอดภัย และประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรอำนวยความสะดวกบริเวณหน้าโรงเรียนเพื่อดูแลการข้ามถนนและการขึ้น-ลงรถของเด็กนักเรียน ป้องกันอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชน เป็นต้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของครู ผู้ปกครองต้องคอยระมัดระวัง ตักเตือนเด็กๆ เพราะคงไม่มีใครอยากให้อุบัติเหตุเหล่านั้น ไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือร้ายแรงเกิดขึ้นกับลูกหลานของคุณเองเป็นแน่ ทางที่ดีที่สุด ควรหาวิธีป้องกันไว้ก่อน ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติภัยหรือลดความรุนแรงของอุบัติภัยได้
นอกเหนือจากอุบัติเหตุต่างๆ ที่พ่อแม่วิตกกังวลแล้ว ยังมีเรื่องของเชื้อโรคหรือไวรัสที่กำลังแพร่ระบาดอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัด ตาแดง หรือล่าสุด!!! อย่างเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ระบาดไปแล้วกว่า 33 ประเทศ เสียชีวิต 63 ราย ที่กำลังเป็นที่วิตกกันไปทั่วโลก แต่ถึงแม้จะยังไม่พบรายงานว่าระบาดในประเทศไทยก็ตามที แต่เด็กเป็นวัยที่สามารถติดเชื้อได้ง่ายกว่าวัยอื่นๆ การต้องไปอยู่ร่วมกับเพื่อนๆ ในห้องเรียน ส่งผลให้บริเวณดังกล่าวเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคได้ง่ายมาก
ทางกระทรวงสาธารณสุข จึงได้ออกประกาศเตือนให้ระมัดระวังเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ 2009 ดังกล่าวในช่วงเปิดเทอม โดยให้อาจารย์ประจำห้องอนามัย หรือห้องพยาบาล สอดส่องดูแลพฤติกรรมและอาการเด็กอย่างใกล้ชิด หากพบว่ามีอาการผิดปกติให้รีบพาไปพบแพทย์และแจ้งผู้ปกครองโดยด่วน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แก่เด็กที่ยังไม่ติดเชื้อรายอื่นๆ รวมทั้งความสบายใจของผู้ปกครองอีกด้วย
ที่สำคัญช่วงเปิดเทอม เป็นช่วงเวลาที่พอเหมาะพอเจาะกับหน้าฝนพอดี เมื่อมีฝนตก ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีสัตว์ทั้งมีพิษและไม่มีพิษออกมาปรากฏให้เห็นตามที่ต่างๆ อาจเป็นเพราะที่อยู่ของมันถูกคุกคามด้วยสายน้ำจากฝนที่ตกลงมา ในส่วนของสัตว์ที่ไม่มีพิษก็อาจจะไม่เป็นไรมากนัก แต่หากลูกน้อยของคุณพบเจอกับสัตว์ที่มีพิษแล้วล่ะก็!!! อาจเกิดอันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิตก็เป็นได้ ซึ่งสัตว์ส่วนใหญ่ที่มักพบเจอนั้น ได้แก่ งู มักพบบริเวณห้วย หนอง บ่อ พงหญ้า โพรงไม้ กอไผ่ แต่เมื่อถึงหน้าฝน น้ำท่วมถิ่นอาศัยจึงเลือกเลื้อยเข้าบ้านคน หรือมาหาเหยื่อตามพงหญ้าหน้าบ้าน เช่น กบ เขียด มากกว่าปกติ
แต่หาก...ลูกน้อยของคุณถูกกัดแล้วล่ะก็ วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนส่งเด็กไปโรงพยาบาล หากเป็นงูที่ไม่มีพิษ ควรล้างแผลด้วยน้ำสบู่ ซับแผลให้แห้ง ปิดแผลด้วยผ้ากอซ และพบแพทย์เพื่อสังเกตอาการ ส่วนงูที่มีพิษให้ล้างแผลบีบเอาพิษและเลือดออก ใช้ผ้ารัดเหนือปากแผลไว้แต่ไม่ต้องแน่นมากเพราะเลือดจะไม่ไหลเวียน อาจทำให้เซลล์บริเวณบาดแผลตาย และรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
สัตว์มีพิษที่อันตรายตัวต่อไป แมงป่องและตะขาบ โดยปกติแล้วชอบหากินกลางคืน ส่วนกลางวันมักหลบซ่อนตัวอยู่ใต้โพรงหิน ใต้กองไม้ ท่อนไม้ ใบไม้ ท่อประปา และห้องน้ำ เมื่อเข้าหน้าฝนจะชอบเข้ามาในบ้าน ทั้งตะขาบและแมงป่องชอบหลบอยู่กองผ้า ผ้าห่ม ที่นอนและที่ซอกหลืบ และด้วยสีที่ออกโทนดำหรือบางชนิดสีคล้ายจิ้งจก และชอบหากินเวลากลางคืนนี่เอง ทำให้เจ้าหนูโดนต่อยอยู่บ่อยๆ
ความร้ายกาจของแมงป่องนั้นอยู่ที่หาง เมื่อถูกต่อยจะมีอาการไม่เหมือนกันทุกคน ขึ้นอยู่กับชนิดและจำนวนพิษที่แมงป่องปล่อยออกมา เช่น ลักษณะเหมือนเข็มแทง บวม และมีรอยไหม้ รวมถึงอาการแพ้พิษของแต่ละคนด้วย ส่วนพิษตะขาบแม้จะเป็นแค่ตัวเล็กๆ ก็จะทำให้มีอาการบวมแดง ร้อนและเป็นไข้ได้ ยิ่งตัวใหญ่เท่าไร พิษยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
หากถูกกัดหรือต่อยให้รีบใช้สำลีชุบแอมโมเนียหอมทาที่แผล หากมีอาการปวดให้ใช้ผ้าเย็นจัดหรือน้ำแข็งวางไว้ที่แผล อยู่นิ่งๆ ไว้ จะช่วยให้การดูดซึมของพิษช้าลง รับประทานยาแก้ปวด และพาไปพบแพทย์ทันที
นอกจากนี้ยังมีสัตว์มีพิษที่อันตรายตัวเล็กที่มิอาจมองข้ามอย่าง ยุง เพราะเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ ไม่ว่าจะ ไข้เลือดออก ไข้มาลาเรีย เป็นต้น โดยเฉพาะยุงลายที่เป็นพาหะของโรคชิคุนกุนยา ที่กำลังระบาดอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทยอยู่ขณะนี้ หากยุงมีเชื้อไปกัด จะทำให้มีไข้สูงอย่างฉับพลันมีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย อาจมีอาการคัน ตาแดง แต่ในเด็กจะมีอาการไม่รุนแรงเท่ากับผู้ใหญ่ ปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้รักษาโรคนี้ที่เจาะจง ซึ่งพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ควรระวังให้มาก
วิธีที่ง่ายและราคาถูกที่สุดในการป้องกันยุงกัด เช่น การกำจัดแหล่งเพาะยุงใกล้บ้าน ใส่เกลือลงไปในน้ำที่ขัง เทน้ำขังทิ้ง นอนกางมุ้ง ติดมุ้งลวด และลดอาหารที่มีสารโซเดียมประกอบอยู่สูง เช่น เกลือ ผงชูรส เพราะร่างกายจะเร่งปฏิกิริยาเผาผลาญ ส่งผลให้ขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าปกติ ทำให้ยุงรุมสนใจเจ้าหนูเป็นพิเศษ และควรทาแป้งหรือยากันยุงให้กับลูกของคุณด้วย
นอกจากนั้นควรสังเกตอาการของเด็กด้วยว่า อาจจะเป็นไข้เลือดออกหรือไม่ คือ หากมีไข้สูง 38.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป และเป็นติดต่อกันนานประมาณ 3-7 วัน มีอาการอาเจียนหลังมีไข้ 2-3 วัน และบางครั้งอาจจะมีเลือด หรือน้ำสีดำปนออกมาด้วย เมื่อรัดแขนหลังจากที่มีอาการไข้ 2-3 แล้ว จะพบจุดเลือดออกเล็กๆ ที่ผิวหนัง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หน้าแดง เบื่ออาหาร หากพบว่ามีอาการตามนี้ เจ้าตัวเล็กของคุณเสี่ยงเป็นโรคไข้เลือดออกแน่นอน
ซึ่งอาการของไข้เลือดออกจะชัดเจนมากขึ้นเมื่อเข้าวันที่ 3 หากยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ คุณหมอจะรักษาตามอาการและให้พาลูกมาดูอาการบ่อยๆ แต่อาจไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล
และสัตว์มีพิษที่อันตรายตัวสุดท้าย ที่ดูเหมือนจะไม่มีพิษสงอะไร แต่ก็เป็นอันตรายต่อตัวเด็กเช่นกัน นั่นคือ กิ้งกือ มันชอบอาศัยอยู่ตามซอกมุมหรือหลืบมืดๆ มีพิษเป็นของเหลวและไม่มีสีที่ข้างลำตัว หากสัมผัสจะคันหรือทำให้ผิวหนังไหม้ได้ เมื่อไปสัมผัสมันแล้วควรรีบล้างน้ำ เช็ดด้วยแอลกอฮอล์หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ และใช้ยาบรรเทาอาการคันทันที แต่ถ้าพิษเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำอุ่น และปรึกษาจักษุแพทย์ทันที
พ่อ แม่ ผู้ปกครองหลายคนคงต้องนอนเอามือก่ายหน้าผากกันเป็นแน่ เมื่อภัยร้าย ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ เชื้อไวรัสต่างๆ หรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมโลกอย่างสัตว์มีพิษที่จ้องทำร้ายลูกน้อยของคุณ ยามที่ต้องอยู่ในรั้วโรงโรงเรียนโดยที่ไม่มีพ่อแม่ดูแล
ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ทางโรงเรียนที่ต้องรับบทหนักในการดูแลเด็กๆ มากเป็นพิเศษ ในช่วงเปิดเทอม แต่ก็มิได้หมายความว่าจะยกภาระทั้งหมดไว้กับทางโรงเรียน พ่อแม่ผู้ปกครองเองก็ควรให้ความรู้แก่เด็กถึงอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในรั้วโรงเรียน เพราะหากเกิดอะไรขึ้นกับลูกน้อยของคุณไปแล้ว คุณไม่สามารถเรียกร้องอะไรกลับคืนมาได้!!!
สำหรับตอนต่อไป www.thaihealth.or.th สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส. มีเรื่องราวภัยเด็กช่วงเปิดเทอมอื่นๆ อาทิ ภัยขนมรอบโรงเรียนที่ก่อเกิดโรคร้าย และอันตรายอื่นๆ ตามมามากมาย ที่พ่อแม่ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ ไม่อาจเพิกเฉยมาฝาก ติดตามได้ที่นี่ เร็วๆ นี้
เรื่องโดย: ณัฐภัทร ตุ้มภู่ Team Content www.thaihealth.or.th
Update:18-05-52
Updateโดย ณัฐภัทร ตุ้มภู่
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
– ผวา!!“หวัดหมู” ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ ภัยสุขภาพ
– เตรียมพร้อมรับมือ “ภัย” ที่มากับเปิดเทอม
– “ชิคุนกุนยา” ไวรัสสายพันธ์ใหม่แพร่จากยุงลาย