เปิดมิติใหม่ลดบริโภคเค็มสู่ครอบครัวไทยสุขภาวะดี
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
ปัจจุบันทั่วโลกประสบปัญหาและความท้าทายด้านสาธารณสุขที่เปลี่ยนไป จากอดีตที่เผชิญกับการเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อต่างๆ แต่ปัจจุบันกลายมาเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการกินอาหารรสหวาน มัน เค็ม และขาดการออกกำลังกายในสัดส่วนที่เหมาะสม อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สถิติของผู้ป่วยด้วยโรค NCDs เพิ่มสูงขึ้น และเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในที่สุด
เครือข่ายลดบริโภคเค็ม จึงร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกันเปิด "มิติใหม่การลดบริโภคเค็มกับอนาคตสังคมไทย" เพื่อกระตุ้นให้คนไทยตั้งแต่เด็ก เยาวชน และครอบครัวชาวไทย ตระหนักถึงภัยจากการบริโภคเค็มซึ่งเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ มากมาย
ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการกินและวิธีการใช้ชีวิต และเป็นปัญหาที่ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญค่อนข้างมาก โดยเฉพาะองค์การอนามัยโลก (WHO)
ทั้งนี้ งานของ สสส.ในการร่วมมือกับเครือข่ายลดบริโภคเค็มในช่วงปีที่ผ่านมามีความก้าวหน้ามาก ทำให้มุ่งหวังว่าถ้าผู้บริโภคลดการบริโภคเค็มได้ ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่จะทำให้เกิดโรค NCDs ก็จะน้อยลง โดยตั้งเป้าว่าคนไทยต้องลดการบริโภคเค็มจากวันละ 4,000 มก./วัน เหลือวันละ 2,000 มก./วัน เป็นการลดลงมากกว่าร้อยละ 50 จากเป้าหมายที่องค์การอนามัยโลกวางไว้ว่าควรลดให้ได้ร้อยละ 30 โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนให้จุดประสงค์ของเครือข่ายลดบริโภคเค็มสำเร็จ
รศ.นพ.เกรียงศักดิ์ วารีแสงทิพย์ นายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคไตเป็นหนึ่งในโรค NCDs จากข้อมูลพบว่าประชากรในครอบครัวไทยป่วยเป็นโรคไตติดอันดับ 3 ของอาเซียน รองจากมาเลเซียและสิงคโปร์ สาเหตุส่วนใหญ่ร้อยละ 70 เกิดจากเบาหวานและความดันโลหิตสูง ซึ่งมีสถิติผู้ป่วยรวมเกือบ 15 ล้านคน ผลที่ตามมาคือมีภาวะไตเสื่อมและไตเสื่อมเร็วขึ้น จัดว่าเป็นมหันตภัยเงียบที่น่ากลัว เพราะผู้ป่วยจะไม่ทราบว่าตนป่วยเป็นโรค กว่าจะรู้ตัวว่าป่วยก็สายเกินแก้แล้ว
นอกจากนี้ยังต้องมีการรักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าผู้ป่วยจะได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายไตหรือเสียชีวิต จึงมีค่าใช้จ่ายสูง โดยใช้งบประมาณในการบำบัดทดแทนไตในสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ากว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี โดยโรคในกลุ่มนี้มีสาเหตุหลักจากการบริโภคอาหารรสเค็ม หรืออาหารที่มีส่วนประกอบของโซเดียมเป็นประจำโดยไม่รู้ตัว โครงการต่างๆ ของเครือข่ายลดบริโภคเค็มจึงเป็นหัวใจสำคัญต่อการป้องกันโรคไตได้ในอนาคต
ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวว่า เครือข่ายลดบริโภคเค็มเป็นการร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และภาควิชาการ ในการสร้างสรรค์งานรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ และงานวิจัยงานวิชาการต่างๆ เพื่อปรับพฤติกรรมของประชาชนและครอบครัวชาวไทย ให้ใส่ใจ ลด-ละ-เลิกการบริโภคเค็ม รวมทั้งการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ลดโซเดียมซึ่งดีต่อสุขภาพของประชาชน
โดยปีนี้ทางเครือข่ายได้พัฒนางานวิจัยเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม 4 โครงการ และเชื่อมั่นว่าโครงการต่างๆ จะช่วยให้ประชาชนตระหนักและลดการบริโภคเกลือมากขึ้น ประกอบด้วย 1.โครงการขับเคลื่อน เพื่อลดการบริโภคโซเดียมของคนไทยผ่านการอ่านฉลาก 2.โครงการ Food Safety Forum : ลดเกลือโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป 3.โครงการ การผลิตเครื่องตรวจสอบความเค็มในตัวอย่างอาหารและปัสสาวะ เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพของประชาชนทั่วไป และ 4.โครงการการสร้างฐานข้อมูลวัตถุดิบอาหารและเครื่องปรุงรส : อาหารท้องถิ่นภาคต่างๆ และอาหารที่นิยมทั่วไป
นายอารยะ โรจนวาณิชชากร หัวหน้าโครงการรณรงค์ลดการบริโภคโซเดียมผ่านการอ่านฉลาก ที่ปรึกษาหน่วยเคลื่อนที่เพื่อความปลอดภัยด้านอาหาร สำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า อย.ร่วมมือกับเครือข่ายลดบริโภคเค็มและภาคเอกชน จัดทำโครงการนี้เพื่อขับเคลื่อนให้มีการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารที่มีการปรับลดความเค็มในท้องตลาด มีการกล่าวอ้างหรือแสดงข้อมูลทางโภชนาการที่ถูกต้อง เพื่อให้ผู้บริโภคใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับร่างกาย และผลักดันให้ผู้ประกอบการแสดงฉลากโภชนาการถูกต้องตามกฎหมาย อย.จึงออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 374 ) พ.ศ.2559 มีผลบังคับใช้วันที่ 18 ตุลาคม 2559 (ฉลากเดิมใช้ได้ถึงวันที่ 17 ตุลาคม 2560)
นอกจากนี้ อย.เห็นสมควรให้มีการผลักดันเพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่มีการลดปริมาณโซเดียมในท้องตลาดมากขึ้น พร้อมกับมีการแสดงข้อมูลปริมาณโซเดียมที่ถูกต้อง และออกสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ (healthier logo) ติดหน้าผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค และการเลือกซื้อ หรือเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพของคนไทย
อาจารย์ดรุณี เอ็ดเวิร์ดส ที่ปรึกษาสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย (FoSTAT) กล่าวว่า เป้าหมายการปฏิบัติงานของโครงการ Food Safety Forum : ลดเกลือโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป คือการสร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญและนักวิทยาศาสตร์อาหารรุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารลดเกลือ เพื่อนำไปทดลองปรับสูตรผลิตภัณฑ์อื่นๆ รวมถึงสร้างความตระหนักในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารลดโซเดียมออกสู่ท้องตลาดมากขึ้น ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ต้นแบบทั้งหมด 11 ผลิตภัณฑ์ ผู้ประกอบการเริ่มตระหนักว่าสุขภาพมีความสำคัญร่วมกับความอร่อยของผลิตภัณฑ์ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการรณรงค์และประชาสัมพันธ์เรื่องลดบริโภคเค็มมากกว่านี้ เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นความสำคัญและโทษของการบริโภคเค็ม อุตสาหกรรมอาหารก็จะตื่นตัวกับการผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพมากขึ้น
ผศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ อาจารย์ภาควิชา คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เกลือเป็นเครื่องปรุงที่มีบทบาทสำคัญมากของอาหารไทย การนำเครื่องตรวจวัดความเค็มในอาหารก่อนการบริโภค หรือการตรวจวัดปริมาณโซเดียมคลอไรด์ในปัสสาวะ เพื่อตรวจสอบระดับความเค็มที่บริโภคเข้าไปนั้น จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย โดยเครื่องมือการตรวจวัดความเค็มที่คิดขึ้น มีราคาประหยัด เหมาะกับบุคคลทั่วไป หรือเหมาะกับการนำไปใช้ในการรณรงค์ของ สสส. และสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องวิเคราะห์ปริมาณโซเดียมในห้องปฏิบัติการและจุดบริการทางการแพทย์ โดยเครื่องตรวจวัดความเค็มที่ประดิษฐ์ขึ้นมีขนาดเล็ก พกพาสะดวก ใช้งานง่าย เหมาะกับการตรวจสอบวัดความเค็มของอาหารไทย และสามารถวัดความเค็มได้ในปริมาณที่สูงกว่าอุปกรณ์จากต่างประเทศ
ผศ.ดร.อุไรพร จิตต์แจ้ง ที่ปรึกษาสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การสร้างฐานข้อมูลส่วนประกอบอาหารและเครื่องปรุงรสของตำรับอาหารท้องถิ่น เพื่อเป็นองค์ความรู้เกี่ยวกับปริมาณ แหล่ง และรายการอาหารที่มีโซเดียมสูง สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการรณรงค์การลดบริโภคโซเดียมในท้องถิ่นต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีความสำคัญต่อการสำรวจพฤติกรรมการบริโภค ซึ่งเป็นประโยชน์ในการเฝ้าระวังสถานการณ์ วางแผนรณรงค์เพื่อการป้องกัน และประเมินติดตามผลการดำเนินงาน โดยประเมินปริมาณการบริโภคโซเดียมรายบุคคลด้วยชุดโปรแกรม INMU NCD Dietary Assessment ซึ่งสามารถระบุเจาะจงว่าส่วนประกอบอาหารหรือเครื่องปรุงใดเป็นแหล่งโซเดียมหลักที่มีผล กระทบต่อปริมาณการบริโภคเค็มมากที่สุด
เชื่อว่าแนวทางนี้จะเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยให้ทุกครอบครัวไทยลดบริโภคเค็ม และห่างไกลโรค NCDs ได้