เปิดผลวิจัย หลากหลาย ชีวิตทางเพศ LGBTQ+ ไทย ดันนโยบายสร้างพื้นที่ปลอดภัย-เท่าเทียมทุกอัตลักษณ์

ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข

ภาพประกอบจาก สสส.

                     สสส.สานพลัง มหิดล จัดเวทีเสนอผลการวิจัยเรื่อง “หลากหลายใต้ตัวเลข ชีวิตทางเพศ LGBTIQN+ ไทย” เชื่อมโยงองค์ความรู้เข้าสู่นโยบาย และสร้างความร่วมมือในการเคลื่อนสังคมไทยให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยและเท่าเทียมสำหรับทุกอัตลักษณ์ทางเพศ


                     เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 30 พ.ค. 2568 ที่ ลาน SCBX สยามพารากอน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดงานประชุมเสนอผลการวิจัยเรื่อง “หลากหลายใต้ตัวเลข ชีวิตทางเพศ LGBTQ+ ไทย” เพื่อนำเสนอผลการคาดประมาณประชากรกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ


                     นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า กลุ่มประชากรหลากหลายทางเพศเป็นตัวแทนของความแตกต่างทางเพศวิถีและอัตลักษณ์ทางเพศที่ช่วยขับเคลื่อนการยอมรับความหลากหลายในเชิงวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสังคม ขณะที่ก็เป็นกลุ่มที่มีความต้องการเฉพาะทาง และมักถูกละเลยในนโยบายสาธารณะ จากการเผชิญความเหลื่อมล้ำชัดเจนทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ (การถูกเลือกปฏิบัติ) และสังคม แต่ก็มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง (Pink Economy) ในระดับนานาชาติการสนับสนุนประชากรกลุ่มนี้จะสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะด้านความเท่าเทียมด้วย สำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. ได้เล็งเห็นว่า การขาดข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับประชากรกลุ่ม LGBTIQN+ ที่มีความถูกต้องและน่าเชื่อถือได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการออกแบบนโยบายสาธารณะ และบริการต่าง ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มนี้ได้อย่างแท้จริง โครงการวิจัย “การคาดประมาณขนาดประชากร LGBTQ+ ในประเทศไทย” นี้จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว โดยมุ่งพัฒนาแนวทางและเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มความหลากหลายทางเพศเป็นครั้งแรกอย่างเป็นระบบ ผ่านระเบียบวิธีวิจัยที่ถูกต้องตามหลักสถิติศาสตร์ และการคาดประมาณขนาดประชากรที่ถูกต้องตามหลักวิชาประชากรศาสตร์


                     “สสส. จึงได้ร่วมกับสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล สำรวจชีวิตทางเพศและสุขภาพของประชาชนและเยาวชนทุกช่วงวัย ปี 2567 จำนวน 2,466 ครัวเรือน รวม 9,588 คน จากการนับจดครัวเรือน เพื่อคาดประมาณประชากร LGBTQ+ โดยพบกลุ่มอย่างอย่างที่มีความหลากหลายทางเพศ 2.37% และมีสถานการณ์สุขภาพอย่างเฉพาะเจาะจงที่น่าสนใจหลายประเด็น การสนับสนุนให้มีข้อมูลที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายอย่างเป็นระบบ โดยมุ่งเน้นการสร้างระบบสุขภาวะที่สนับสนุนความเท่าเทียม และส่งเสริมสุขภาวะของบุคคลกลุ่ม LGBTIQN+ ในประเทศไทย ผ่านการทำงานร่วมกับภาคีทุกภาคส่วน ที่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมโยงองค์ความรู้เข้าสู่นโยบาย และสร้างความร่วมมือในการเคลื่อนสังคมไทยให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยและเท่าเทียมสำหรับทุกอัตลักษณ์ทางเพศ” นางภรณี กล่าว


                     รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ได้มีการสำรวจชีวิตทางเพศและสุขภาพกับประชาชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 2,426 คน ด้วยแบบสอบถามเดียวกันกับการสำรวจทุกช่วงวัย ระบุว่าตัวเองเป็น LGBTQ+ 7.4% ในจำนวนนี้เป็น เยาวชนที่เรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย อาชีวะ มหาวิทยาลัย และเฉพาะช่วงอายุ 15-25 ปี จำนวน 1,106 คน ระบุตัวเองเป็น LGBTQ+ 29.6% สูงกว่ากลุ่มตัวอย่างทั้งหมดที่ระบุตัวเองเป็น LGBTQ+ ถึง 4 เท่า โดยกลุ่มเยาวชนส่วนใหญ่เปิดเผยตัวตนเฉพาะกับบางคนบางพื้นที่ และเยาวชนจำนวนหนึ่งครอบครัวยอมรับแต่มีเงื่อนไขและถูกกดดันให้เปลี่ยนแปลงตัวเอง และจากการวิเคราะห์ข้อค้นพบ โดยแบ่งประชากรตัวอย่างในการสำรวจออกเป็น 2 กลุ่ม คือ คนที่มีเพศวิถีตามขนบ และคนที่มีเพศวิถีไม่ตามขนบเพศของสังคม พบว่า อัตลักษณ์ทางเพศของกลุ่มประชาชนผู้หญิงมีอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายกว่าผู้ชาย เป็นไบเซ็กชวลสูงกว่า ขณะที่กลุ่มเยาวชนมีอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายเห็นคนรักทุกเพศอย่างชัดเจน


                     รศ.ดร.กฤตยา กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องรสนิยมทางเพศของคนนอกขนบเพศวิถีในกลุ่มประชาชนและเยาวชน พบว่าผู้หญิงมีความสนใจหลากหลายกว่า เมื่อจำแนกรสนิยมทางเพศด้วยความสามารถในการรักคนได้กี่เพศสภาพ พบว่าเยาวชนสามารถรักได้หลายเพศมากกว่า โดยกลุ่มเยาวชนมีความลื่นไหลทางเพศสูงกว่ากลุ่มวัยอื่น 4 เท่า เมื่อถามถึงประเด็นการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ยินยอมพร้อมใจ พบว่า เคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ยินยอมในอัตราที่สูงกว่าคนที่มีวิถีทางเพศแบบผู้ชายและผู้หญิง โดยสัดส่วนผู้ชายที่เป็นเพศหลากหลายในกลุ่มเยาวชนเคยมีประสบการณ์นี้สูงถึง 1 ใน 5 ซึ่งจากการศึกษาประชากรตัวอย่าง 2 กลุ่มนี้ ชี้ชัดถึงปรากฏการณ์ที่คนจำนวนหนึ่งไม่ต้องการมีเพศวิถีแบบชายหญิง ส่งผลให้คนเพศหลากหลายเผชิญแรงกดดันในรูปแบบต่าง ๆ และถูกเลือกปฏิบัติ จึงเกิดเป็นข้อเสนอให้ทำการศึกษาวิจัยเชิงลึกถึงกลไกเชิงอำนาจและโครงสร้างที่กีดกันคนที่มีเพศวิถีไม่เป็นไปตามขนบ และวิเคราะห์ความทับซ้อนของปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่ม

Shares:
QR Code :
QR Code