เปิดถนนสายศิลปะ สืบสานรากเหง้าวัฒนธรรม สร้างชุมชนเข้มแข็ง ในถนนเด็กเดิน ตอน มันเล็กมาก
สสส. หนุนเด็กนางเลิ้ง จัดงานถนนเด็กเดิน ตอน มัน เล็ก มาก เปิดพื้นที่ศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น อนุรักษ์สืบสานผ่าน 2 มือจิ๋วแต่แจ๋ว สำแดงพลังเล็กพริกขี้หนูสู่สายตาสังคม พร้อมเขียนสาส์นถึงเทวดา (message to the skys) เปิดใจเด็กสลัมให้สังคมยอมรับ
แม้หนึ่งวันของการจัดงานถนนเด็กเดินนางเลิ้ง ตอน “มัน เล็ก มาก” จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับเด็กและเยาวชนในพื้นที่ชุมชนนางเลิ้ง มันเปรียบได้กับช่วงเวลาที่พิเศษและน่าจดจำ เพราะนี่เป็นงานครั้งแรกที่เยาวชนได้ลุกขึ้นเป็นตัวตั้งตัวตี มีส่วนร่วมในการสืบสานศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่นอันเก่าแก่เอาไว้ อีกทั้ง ยังเกิดการแลกเปลี่ยนกันระหว่างชุมชนขึ้น ด้วยกระบวนการดึงเอาศิลปวัฒนธรรม มาใส่ความคิดสร้างสรรค์ ใส่ประเด็นเนื้อหาสาระ ที่จะสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างการพัฒนา ให้เกิดขึ้นกับเยาวชนและชุมชนโดยการดึงคน 3 วัย ในชุมชนมาทำงานร่วมกัน
งานนี้มีกลุ่มเด็กและเยาวชนชุมชนนางเลิ้งภายใต้ชื่อกลุ่ม “อีเลิ้ง” และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกันจัดงานขึ้นที่ถนนพะเนียงหลังวัดสุนทรธรรมทาน (วัดแคนางเลิ้ง)
“น้ำมนต์” หรือ น.ส.นวรัตน์ แววพลอยงาม เป็นหนึ่งในเยาวชนชุมชนนางเลิ้ง ผู้คลุกคลีกับงานพัฒนาชุมชนบ้านเกิด และมีส่วนปลุกปั้นให้ย่านนางเลิ้งกลายเป็นชุมชนน่าอยู่ของกรุงเทพฯ เล่าว่า ถนนเด็กเดินนางเลิ้ง ตอน “มัน เล็ก มาก” เกิดจากกลุ่มคนเล็กๆ ที่เป็นเด็กในสลัมแล้วได้เข้าทำงานร่วมกันบนพื้นที่เล็กๆ ซึ่งกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ รายล้อมไปด้วยปัญหาสังคม อาทิ ปัญหายาเสพติด การพนัน การติดเหล้า-บุหรี่ ความก้าวร้าว การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร และโรคเอดส์ การทำงานบนพื้นฐานของปัญหาจึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทำให้การนำเอา “ศิลปวัฒนธรรมที่มีในชุมชน มากล่อมเกลาให้คนในชุมชนมีค่าขึ้น”
ถนนเด็กเดินนางเลิ้ง จึงเกิดเป็นถนนสายศิลปะที่พูดถึงเรื่องดีๆ ของวัฒนธรรมพื้นถิ่นอย่างบ้านเต้นรำสามัคคีลีลาศ ละครชาตรี บ้านลำตัด บ้านกลองยาว บ้านศิลปะ หลวงปู่ธูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำวัดแคนางเลิ้ง ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชุมชน การทำหัวโขน การตัดชุดละคร การทำหัวโต (เป็นการทำเพื่อใช้ในงานบวชขณะแห่นาค) พวงมโหตร การทอผ้า รวมไปถึงอาหารและขนมหวานรสเลิศ
“กิจกรรมในครั้งนี้เป็นกิจกรรมที่การเปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดงพลัง ได้เปิดความคิดสร้างสรรค์และสร้างภูมิคุ้มกันจากภัยที่มีอยู่หลากหลายในสังคม ซึ่งสิ่งที่น่าจับตามองนอกจากการเขียนสาส์นถึงเทวดา (message to the skys) เพื่อบอกความในใจของเยาวชนที่มีต่อสังคมแล้วยังมีการแสดงละครชาตรี, การแสดงละครใบ้, ภาพยนตร์สารคดีโดยเยาวชนชุมชนนางเลิ้ง เรื่อง “ไอ้ก็อตตายแน่” เรื่องกล้วยแขก และเรื่อง slum kids
อีกทั้งยังมีการหนุนเสริมกิจกรรมอีกมากมาย จากโครงการสื่อพื้นบ้านเพื่อสุขภาวะเยาวชน โครงการดนตรีสร้างสุข โครงการละครสำหรับเยาวชน ซึ่งเป็นโครงการในกลุ่มงานสื่อศิลปวัฒนธรรมเชิงบูรณาการ สสส. ที่มาเติมเต็มให้ถนนสายศิลปะสายนี้ ให้กลายเป็นพื้นที่สาธารณะมากกว่าแค่การสัญจรหรือจอดรถเท่านั้น และในอนาคตตั้งใจจะจัดงานลักษณะนี้อีกปีละ 4 ครั้ง โดยครั้งต่อไปจะมีประมาณช่วงปลายเดือนเมษายน-พฤษภาคม ตามด้วยเดือนกันยายน-เดือนตุลาคม และเดือนธันวาคม” นางสาวนวรัตน์ เล่า
เด็กชายปราโมทย์ ภิรมย์ เยาวชนในชุมชนหลังวัดวัดสุนทรธรรมทาน และมัคคุเทศก์น้อยภายในงานถนนเด็กเดินนางเลิ้ง ตอน “มัน เล็ก มาก” ครั้งนี้บอกว่า ถึงแม้ว่าบ้านของพวกเราจะเป็นชุมชนแออัด มีสภาพทรุดโทรมก็ตาม แต่สิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในชุมชนแห่งนี้ก็คือ ความรัก สามัคคี สนิทสนมกลมเกลียวกันของคนในชุมชน ซึ่งวิถีชีวิตแบบนี้อาจจะหาได้ยากแล้วในสังคมปัจจุบัน ซึ่งนี่คือความโชคดีที่ตนได้รับโดยไม่นึกน้อยเนื้อต่ำใจเลยที่เกิดในสลัม แต่ทว่าในทางกลับกันชุมชนแห่งนี้เป็นเหมือนสวรรค์ในเมืองใหญ่สำหรับตนเลยก็ว่าได้
ด้าน นายดนัย หวังบุญชัย ผู้จัดการแผนงานทุนอุปถัมภ์เชิงรุกเพื่อสื่อศิลปวัฒนธรรมและกิจกรรมสร้างสรรค์ สสส. บอกว่า แต่ละชุมชนมีบริบท สภาพปัญหา และอัตลักษณ์ในเรื่องของศิลปวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป กิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงพลัง ได้เปิดความคิดสร้างสรรค์และสร้างภูมิคุ้มกัน เยาวชนอยากทำอะไรดีๆ ให้แก่ชุมชน สร้างการรู้เท่าทันและทำให้เด็กมีพัฒนาการ เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ใฝ่มุ่งอนาคตมุ่งเห็นความสำเร็จ และสร้างการยอมรับให้ประจักษ์แก่สังคมอย่างภาคภูมิ
นี่อาจเป็นอีกหนึ่งความทรงจำอันน่าภาคภูมิใจในบ้านเกิดของเยาวชนในชุมชนนางเลิ้งอีกหนึ่งครั้งก็เป็นได้ ซึ่งนอกจากจะมีโอกาสแสดงผลงานศิลปะแล้ว การเป็นผู้สืบทอดและอนุรักษ์ศิลปะเก่าแก่ของรุ่นปู่ย่าเอาไว้ถึงแม้วัตถุบางอย่างอาจดูทรุดโทรม แต่ในด้านจิตใจแล้วยังเปี่ยมไปด้วยคุณค่า
ไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะเห็นถนนสายศิลปะเกิดขึ้นในเมืองใหญ่ๆ แต่ถนนเด็กเดินนางเลิ้ง ตอน “มัน เล็ก มาก” ครั้งนี้สามารถทำให้สังคมยอมรับได้เลยว่า “ศิลปะ สามารถดึงจิตสำนึกของคนออกมาได้ เห็นได้จากภาพของความรัก ความผูกพัน ความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชุมชน เมื่อมาร่วมลงมือทำงานศิลปะหรือแม้แต่งานอื่นๆ ร่วมกัน สิ่งนั้นย่อมสำเร็จได้ นี่คือทางสู่การเป็นชุมชนที่เข้มแข็งและอยู่ได้ด้วยคนในชุมชนเอง…
ที่มา: แผนงานทุนอุปถัมภ์เชิงรุกเพื่อสื่อศิลปวัฒนธรรมและกิจกรรมสร้างสรรค์