เปลี่ยนกระบวนทัศน์ จุดช่วยปฏิรูปประเทศไทย

ถึงเวลาที่คนไทยต้องมีมุมมองบวกและสร้างสรรค์

 

เปลี่ยนกระบวนทัศน์ จุดช่วยปฏิรูปประเทศไทย           รู้สึกดีและเป็นโชคอำนวยอย่างยิ่ง กับโอกาสที่ได้ไปนั่งสังเกตการณ์การประชุมเครือข่ายสถาบันทางปัญญา เพื่อระดมสมองหาแนวทางในการปฏิรูปประเทศไทย เพื่อสุขภาวะของคนไทย ที่มีสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ หรือ สสส. เป็นเจ้าภาพใหญ่เมื่อวันอังคารสุดท้ายของเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

 

          ที่ว่าได้ดีมีโชคก็เพราะประเด็นที่มีการนำเสนอโดย ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ นักคิด นักเขียน นักวิชาคนดัง ว่าด้วยหัวข้อ

 

          ตะวันตก-ตะวันออก

 

          ใครสร้างโลกสมัยใหม่?

 

          นอกจากได้ความรู้ในมุมมองกลับตาลปัตร 360 องศาแล้ว สิ่งสำคัญคือ มีกำลังใจที่ช่วยให้มุ่งมั่นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม คนไทยทำได้ ถ้าตั้งใจและร่วมมือร่วมใจ อยากเห็นการปฏิรูปให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลกนั้นเป็นจริงเสียที

 

          แต่การจะเดินไปจุดนั้นได้ หรือเริ่มต้นเดินไปในเส้นทางของการปฏิรูปหรือเปลี่ยนแปลงประเทศนั้นนั้น เราต้องเริ่มจากการจัดการความคิดของเราก่อน

 

          คนไทยมีความคิดตรงกันแล้วใช่ไหมว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องเปลี่ยนแปลง

 

          เมื่อคำถามคือ”รู้แน่นอน”

 

          สิ่งที่ต้องทำคือ หาคนที่จะเป็นผู้นำ หรือถือธงปฏิรูปแต่คนๆนั้นหรือ “ตัวจี๊ด”ที่ผมเคยนำเสนอไว้นั้น ก็ต้องอาศัยความร่วมมือของคนไทยทุกฝ่าย

 

          ฉะนั้น…เมื่อคิดว่าต้องการเปลี่ยนแปลง และหาคนช่วยผลักดันความคิด แต่ยังไงๆก็ต้องไม่ลืมว่าการเริ่มจากการปรับความคิดของตัวเองนั้น คือ คำตอบสุดท้าย ที่ต้องทำเป็นสิ่งแรก

 

          ความคิดว่า…การปฏิรูปเป็นเรื่องฝันเฟื่อง ต้องผลักดันออกไป

 

          ความคิดว่า…การปฏิรูปเป็นเรื่องของการหาเสียง ต้องไม่ปล่อยให้ถูกบิดเบือน

 

          ความคิดว่า…การปฏิรูปเป็นแค่ความจริงในกระดาษ หรือ ห้องเรียน ก็ต้องลบความทรงจำนี้ทิ้งเสีย

 

          ถึงเวลาที่คนไทยจะต้องมีมุมมองบวกและสร้างสรรค์ เชื่อมั่นว่าสักวันการปฏิรูปต้องเป็นความจริง ขอเพียงเราอย่าได้ทำนิ่งเฉย ไม่ใส่ใจ หรือเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ อย่างน้อยการประชุมของสถาบันเครือข่ายทางปัญญา เดือนละ 2 ครั้ง ก็สิ่งสะท้อนว่า คราวนี้เอาจริง ถึงนักการเมืองหรือรัฐบาลจะไม่สนใจก็ตาม เหมือนอย่างที่หมอประเวศ วะสี กล่าวก่อนการนำเสนอของ ดร.เอนก ว่า

 

          “เวทีนี้ใช้ความรู้ ไม่ได้มาด่าทอกัน อาจจะเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องซับซ้อน เพราะการปฏิรูปการพัฒนาเป็นเรื่องระยะยาวเสมอ แต่การเมืองเป็นเรื่องเฉพาะหน้าหรือระยะสั้น เป็นเรื่องของการหาเสียง ซึ่งปล่อยให้เขาว่ากันไป”

 

          สาระการนำเสนอในหัวข้อ “ตะวันตก-ตะวันออก”ใครสร้างโลกสมัยใหม่?”นั้น ที่ผมบอกว่าสร้างเสริมกำลังใจอย่างมากว่า ปฏิรูปจะเป็นฝันที่เป็นจริงแน่นอนสักวันใดวันหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ ก็เพราะ ดร.เอนกแก้ความเชื่อและความเข้าใจผิด ความสามารถของเราชาวเอเชีย ที่ถูกเป่าหู โฆษณาชวนเชื่อมาตลอดว่า…เราโง่กว่าฝรั่งตาน้ำข้าว

 

          ไม่ใช่! ไม่ใช่! ไม่ใช่เลย …เพราะจากการค้นคว้าและวิจัยอย่างสนใจใคร่รู้ว่า ตะวันออกกำลังจะนำหน้าตะวันตกในอนาคตใช่หรือไม่และอย่างไรนั้น ผ่านการมองเห็นจากภาพสะท้อนการพัฒนาของยักษ์ใหญ่อย่างจีนนั้น ดร.เอนก พบว่า ตะวันออกต่างหากที่ฉลาดและเจริญก้าวหน้าตะวันตกมาก่อน และในระยะเวลาอันใกล้ ตะวันออกกำลังจะทวงแชมป์คืนแล้ว

 

          แม้กระทั่งดินแดนในสุวรรณภูมิ ที่มีบันทึกว่าฝรั่งเข้ามาในสมัยพระนารายณ์ยุคอยุธยาเรืองอำนาจนั้น จากการศึกษาพบว่า ฝรั่งยุคนั้นมิได้มีอะไรที่ฉลาดนำหน้ากว่าเอเชียเลย แต่ตะวันตกมาเจริญแซงหน้าหรือเก่งกว่าในช่วงรัตนโกสินทร์ต่างหาก

 

          ถึงอาจารย์เอนกจะไม่ได้ฟันธงว่า ประเทศไทยก็ใช่ย่อยในความรู้ความสามารถ แต่เมื่อเราเป็นส่วนหนึ่งของเอเชีย เราก็ควรจะภาคภูมิใจ และยืดคอให้สูงยืดอกให้กว้างมิใช่หรือว่า เราไม่ได้โง่ดักดาน หรือล้ำสมัยกว่าฝรั่งสักหน่อย

 

          บริบทสำคัญของการนำเสนอหัวข้อตะวันตก-ตะวันออก เราจึงต้องจับประเด็นสำคัญตามที่หมอประเวศ วะสี ได้เขียน คำนิยม ในงานวิจัยที่กำลังตีพิมพ์หนังสือของ ดร.เอนก บอกว่า

 

          ถึงเวลาที่คนไทยจะต้องมีมุมมองใหม่ จินตนาการใหม่

 

          มุมมองใหม่จินตนาการใหม่เกี่ยวกับตัวเราเอง เกี่ยวกับประเทศไทย และเกี่ยวกับโลก

 

          มุมมองเก่าจินตนาการเก่า นำไปสู่การดูถูกตัวเอง ขาดความมั่นใจและภูมิใจในตัวเอง ทำให้หมดพลัง วิกฤตและออกจากวิกฤตไม่ได้

 

          เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ หรือจินตนาการใหม่ อย่างน้อยที่สุด วันนี้เราพบแล้วว่า ลมตะวันตกกำลังจะถูกลมตะวันออกกลบทวงความเป็นหนึ่ง เราก็ต้องคิดแล้วว่า ประเทศไทยควรจะปรับตัวเองอย่างไรในโลกที่ตะวันออกกำลังกลับสู่ศูนย์กลางอำนาจเดิม

 

          สิ่งที่ดร.เอนกแนะนำคือ เราต้องคิดใหม่ว่า อะไรที่เป็นตะวันออกไม่ใช่ล้าสมัย แต่เป็นความนำสมัยหรือโมเดิร์นมานานแล้ว แต่เป็นโมเดิร์นแบบไชนีส และทางออกที่สำคัญคือ เราควรจะต้องสนใจตะวันออกมากยิ่งขึ้น หลังจากที่เราหลงคิดทำอะไรเลียนแบบตะวันตกมานาน

 

          ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยที่มีผู้ร่วมประชุม หยิบยกประเด็นขึ้นมาถกว่า ต้องเริ่มต้นจากการศึกษา การให้ความรู้ที่ถูกต้องกับเยาวชน จุดความภาคภูมิใจในเอเชียหรือตะวันออกต้องทบทวนซึ่งหมอประเวศใช้คำว่า…มองด้วยแว่นยุโรป ทุกคนโง่ ไม่มีเกียรติ ดูถูกตัวเอง วันนี้ได้เวลาใส่แว่นตะวันออก การศึกษาของเราเคารพแต่ความรู้ในตำรา ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่มีเกียรติ

 

          การปฏิรูปการศึกษา จึงหนีไม่พ้นที่ต้องรีบดำเนินการและให้ต่อเนื่อง

 

          ทั้งนี้เพื่อให้เยาวชนไทยได้องค์ความรู้ที่ถูกต้อง และสอดคล้องกับลมเปลี่ยนทิศที่กำลังแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นการเริ่มรู้จักตนเอง เคารพตนเอง นั้นคือทางออกที่ดีที่สุด

 

          หลากหลายความคิดหลั่งไหลออกมามากมาย แต่ผมสรุปเองเออเองว่า เป็นเรื่องอัศจรรย์ใจเสียจริงๆที่สุดท้าย แนวทางการปฏิรูปใดๆก็ไม่พ้นพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

 

          การรู้จักประเมินตนเอง พัฒนาตัวเองโดยมองหาจุดแข็งและพัฒนาจุดอ่อน การรู้จริงในต้นทุนของตัวเอง และการเสริมสร้างความมั่นใจตัวเอง ภูมิใจในความเป็นไทยใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ก็ไม่แตกต่างจากการนำเสนอของ ดร.เอนก ในวันนี้ ที่เห็นว่าเราต้องปรับกระบวนทัศน์ ซึ่งถือเป็นจุดช่วยปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นจริง

 

          เกิดเป็นคนไทย ต้องภูมิใจในความเป็นไทย ในความเป็นประเทศเอกราช ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ศูนย์รวมจิตใจไทยทั้งชาตินี่คือจุดแข็งที่จะนำไปเป็นประโยชน์ในการพัฒนาแก้ไขจุดอ่อนที่เรายังเห็นว่าดีไม่ดีพอ หรือยังไม่สอดคล้องกับความปรารถนาสูงสุด

 

          หากมองผ่านการนำเสนอครั้งนี้ก็ต้องสรุปว่า มุมมองหรือกระบวนทัศน์ใหม่ คือ เริ่มจากการศึกษา ให้ความรู้กับเยาวชนว่า เด็กไทยฉลาดไม่แพ้เด็กที่ไหนในโลก เลิกเสียทีกับการจัดการความรู้ที่สนใจแต่ว่า การศึกษาคือหน่วยกิต ความสำเร็จคือใบปริญญา

 

          อย่างไรก็ดี การปรับเปลี่ยนวิธีคิด สร้างความภูมิใจให้กับตัวเองก็ต้องไม่ลืมอีกเหมือนกันว่า เก่งเป็นเรื่องน่าดีใจ แต่เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีความดี หรือจิตสำนึกที่ดีด้วย มิเช่นนั้นสังคมไทยก็จะแวะเวียนกลับไปในวังวนเก่า นั้นคือ เก่งแล้วโกงไม่เป็นไร…คิดทีไรช้ำใจจริงๆขอรับ

 

 

 

 

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 

 

Update 06-11-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์

Shares:
QR Code :
QR Code