เตือนสังคมโซเชียลอย่าซ้ำเติมคนทำผิด

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


เตือนสังคมโซเชียลอย่าซ้ำเติมคนทำผิด thaihealth

แฟ้มภาพ


จิตแพทย์วอนคนโซเชียลฯ หยุดสร้างความเกลียดชัง ปล่อยกฎหมายจัดการคนผิด ชี้คนมีพฤติกรรมรุนแรงอาจเครียดสะสม-นิสัย


จากกรณีที่พิธีกรคนหนึ่งเจ้าของรถมินิคูเปอร์สีเหลืองทำร้ายร่างกายและบังคับให้หนุ่มที่ขับรถมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวรถมินิคูเปอร์กราบรถ จนกลายเป็นกระแสในโลกโซเชียล ล่าสุด นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ในกรณีนี้มีการใช้ความรุนแรงซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดก็จริง แต่การที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียเข้าไปแสดงความเห็นต่อกรณีนี้อย่างหลากหลาย และเป็นไปในทางสร้างความเกลียดชังนั้น เป็นภาพสะท้อนของสังคมไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาว่า ไม่ได้มีความเข้าใจในความแตกต่างของการจัดการปัญหาการกระทำผิดที่แตกต่างกัน กรณีนี้ผิดก็ควรว่าไปตามกระบวนการทางกฎหมาย แต่การสร้างความเกลียดชังทั้งๆ ที่คนทำผิดเองอาจจะมีหลายเหตุผล มีความเครียดสะสม หรือเป็นนิสัย ซึ่งไม่สามารถบอกได้ แต่คนคนนี้ก็คือคนหนึ่งคนที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ ไม่ได้ต้องการคำด่าว่า คำบริภาษต่างๆ ซึ่งมีแต่จะสร้างความเกลียดชัง และเพิ่มความเครียด


“เกี่ยวกับเรื่องของคนกระทำความผิด สังคมโซเชียลมีเดียอาจจะต้องวางบรรทัดฐานร่วมกันว่าจะไม่ยอมรับคนกระทำผิดอย่างไร แต่ไม่ใช่การด่าทอที่สร้างความเกลียดชัง เพราะทำให้บรรยากาศของสังคมไม่ดี โดยเฉพาะช่วงนี้ถือว่าเป็นการทำความดีถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” นพ.ยงยุทธกล่าว


นพ.ยงยุทธ กล่าวอีกว่า ผู้ที่ใช้ความรุนแรงในกรณีที่ไม่ใช่ผู้ป่วยทางจิตเวช แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ผู้ที่มีความเครียดสะสมทำให้มีปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์ความโกรธ ความไม่พอใจ ทำให้มีปัญหากระทบกระทั่งกับคนอื่นได้ง่าย ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสังคม และ 2. ผู้ที่การใช้ความรุนแรงจนเป็นบุคลิก เป็นนิสัย ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่ใช้ความรุนแรงมักอยู่ในประเภทแรกคือมีความเครียดสะสม การแก้ปัญหาจะต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเอง ไม่ปล่อยให้มีความเครียดสะสม


“คนส่วนใหญ่จะเครียดโดยไม่รู้ตัว แต่คนที่มีความเครียดจะรู้จักตัวเองดีอยู่แล้วโดยดูจากอาการ อาทิ ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ จิตใจว้าวุ่น ไม่มีสมาธิในการทำงาน จึงต้องรู้จักจัดการกับความเครียดของตัวเอง แต่คนไทยจัดการกับความเครียดด้วยวิธีที่ผิด ไปดูหนัง ฟังเพลง เป็นการคลายเครียดแบบผิวเผินทำให้ความเครียดยังคงอยู่ ขอให้คลายเครียดด้วยการออกกำลังกาย สวดมนต์ ฝึกสมาธิ ฝึกจิต ฝึกเรื่องการหายใจ” นพ.ยงยุทธกล่าว


นพ.ยงยุทธ กล่าวด้วยว่า ประเภท 2. ผู้ที่มีการใช้ความรุนแรงจนเป็นบุคลิก เป็นนิสัย จะต้องเรียนรู้และฝึกตัวเองใหม่หมด ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก โดยต้องรู้จักอารมณ์ของตัวเอง ฝึกเทคนิคควบคุมความโกรธ เช่น การหยุดความคิด การนับเลข คอยเตือนตัวเอง รู้ลมหายใจ หรือบางคนใช้วิธีการเอาหนังยางรัดข้อมือตัวเองเมื่อมีอารมณ์โกรธมาก็จะดึงหนังยางแล้วปล่อยดีดที่แขนเพื่อเตือนสติตัวเอง อย่างไรก็ตามการปรับเปลี่ยนตรงนี้อาจจะต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ อาทิ จิตแพทย์ นักจิตวิทยา พยาบาล หรือสถาบันปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพ เป็นต้น


 

Shares:
QR Code :
QR Code