เตือนน้ำท่วมภาคเหนือ ห่วงปัญหาจมน้ำและโรคติดต่อระบาด
กรมควบคุมโรคเตือนน้ำท่วมภาคเหนือ ห่วงปัญหาจมน้ำและโรคติดต่อระบาด หลังน้ำลดโรคฉี่หนูพบบ่อย ปีนี้เสียชีวิตแล้ว 16 ราย
กรมควบคุมโรค เตือนประชาชนภาคเหนือที่กำลังเกิดอุทกภัยระวังปัญหาการจมน้ำ ไฟดูด สัตว์มีพิษกัด โรคติดต่อระบาด หลังน้ำท่วมมักพบโรคฉี่หนูระบาด ปี 2554 พบผู้ป่วยโรคฉี่หนูทั่วประเทศ เสียชีวิตแล้ว 16 ราย พร้อมแนะนำล้างเท้าหลังย่ำน้ำและผู้ที่มีบาดแผลไม่ควรสัมผัสน้ำท่วมขัง หากจำเป็นต้องย่ำน้ำควรปิดแผลให้สนิทและสวมรองเท้าบู๊ท รับประทานอาหารและน้ำที่ถูกสุขลักษณะ ทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมมาตรการรับมือหากเกิดโรคติดต่อระบาด วันนี้ (29 มิถุนายน 2554)
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขต้องเฝ้าระวังและป้องกันควบคุมโรคที่มากับน้ำท่วม ซึ่งสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของประชาชนจะเปลี่ยนไป อันจะนำมาสู่การเกิดโรคติดต่อระบาดและภัยสุขภาพได้ แนะนำให้ประชาชนที่ประสบปัญหาน้ำท่วมเตรียมพร้อมรับมือใน 3 ระยะ คือ 1.ระยะน้ำไหลบ่าหรือน้ำท่วมระยะแรก ให้ระวังปัญหาการจมน้ำ การถูกไฟดูด ไฟช็อต สัตว์มีพิษกัด และบาดแผลติดเชื้อ 2.ระยะน้ำท่วมขัง ให้ระมัดวังโรค เช่น ตาแดง น้ำกัดเท้า อุจจาระร่วง และโรคทางเดินหายใจ 3.ระยะน้ำเริ่มลดและน้ำลดแล้ว โรคติดต่อที่สำคัญก็ยังคงเป็นโรคเลปโตสไปโรซิสหรือที่ชาวบ้านเรียกว่าโรคฉี่หนู โรคไข้เลือดออก มาลาเรีย และไข้สมองอักเสบ
นอกจากนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานป้องกันควบคุมโรคทั้ง 12 แห่งทั่วประเทศ ดำเนินการใน 8 เรื่อง ได้แก่ 1.ติดตามสถานการณ์และประเมินความเสี่ยงในพื้นที่ตนเองอย่างสม่ำเสมอ 2.ทบทวนระยะการสั่งการและการสื่อสารในระบบปกติและระบบฉุกเฉิน 3.เตรียมด้านการช่วยเหลือเบื้องต้น การส่งต่อไปยังสถานพยาบาลระดับต่างๆ 4.ประสานการเตรียมอุปกรณ์ป้องกันโรคล่วงหน้ากับหน่วยงานที่รับผิดชอบในระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น เช่น รองเท้าบู๊ตป้องกันโรคฉี่หนู (โดยเฉพาะกรณีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานที่ต้องแช่น้ำช่วยเหลือประชาชนให้เพียงพออย่างน้อยจังหวัดละ 1,000-2,000 คู่) คลอรีนสำหรับฆ่าเชื้อโรค เพื่อให้น้ำปราศจากเชื้อโรคสำหรับอุปโภคบริโภคได้อย่างปลอดภัย 5.เตรียมสำรองและจัดหายารักษาโรค ในกรณีที่มีผู้ป่วยจำนวนมาก เช่น ยาทาน้ำกัดเท้า ยารักษาโรคตาแดง เป็นต้น 6.ซักซ้อมระบบการเฝ้าระวัง สอบสวนโรคในภาวะน้ำท่วม 7.ดำเนินการสื่อสารความเสี่ยงโรคและภัยสุขภาพแก่ประชาชนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ 8.เตรียมสารเคมีกำจัดแมลงนำโรคต่างๆ เช่น ยุง แมลงวัน เป็นต้น
นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับปัญหาการจมน้ำโดยเฉพาะในเด็ก ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กลงเล่นน้ำแม้น้ำจะตื้น ผู้ปกครองควรดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด และเตรียมอุปกรณ์ชูชีพให้พร้อม ซึ่งอุปกรณที่หาได้ง่ายสุดคือแกลลอนเปล่าที่ปิดฝาสนิท อาจจะผูกติดกันสองแกลลอนเพื่อให้รับน้ำหนักได้มากขึ้น ส่วนโรคที่ต้องระมัดระวังและมักจะพบผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นในพื้นที่ที่เกิดภาวะน้ำท่วม คือโรคฉี่หนู จากข้อมูลการเฝ้าระวังของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม–24 มิถุนายน 2554) พบว่า พบผู้ป่วยโรคฉี่หนู 834 ราย จาก 62 จังหวัด เสียชีวิตแล้ว 16 ราย สิ่งที่เป็นสัญญาณว่าหลังน้ำท่วมอาจจะมีโรคนี้มากขึ้น เนื่องจากน้ำที่ขังเฉอะแฉะในพื้นที่ที่เคยมีการระบาดและมีหนูชุกชุมจะมีปริมาณของเชื้อโรคฉี่หนูสูง เมื่อประชาชนย่ำน้ำดังกล่าว แล้วไม่ทำความสะอาดเท้า หรือเกิดบาดแผลเชื้อโรคจะเข้าตามผิวหนัง และป่วยเป็นโรคฉี่หนู โดยเฉพาะพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วม จึงขอให้ประชาชนต้องรู้จักป้องกันการสัมผัสกับน้ำที่อาจปนเปื้อนเชื้อ เช่น หลีกเลี่ยงการย่ำน้ำเป็นเวลานานและควรล้างเท้าหลัง ย่ำน้ำ หรือหากจำเป็นควรใส่อุปกรณ์ป้องกันร่างกาย ได้แก่ ถุงมือยาง รองเท้าบู๊ต ป้องกันการสัมผัส น้ำสกปรก ผู้ป่วยโรคฉี่หนูจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อโดยเฉพาะบริเวณน่อง และมีอาการ ตาแดง
หากสงสัยว่าป่วยด้วยโรคนี้ ขอให้รีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที เพื่อให้การดูแลรักษาโดยเร็ว โรคนี้รักษาหายได้ โดยเฉพาะถ้าได้รับการรักษาเมื่อมีอาการระยะแรกและไม่มีภาวะแทรกซ้อน พร้อมทั้งแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยว่ามีการย่ำน้ำลุยโคลนที่มีน้ำขัง หากมีข้อสงสัยติดต่อได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลฮ็อตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข โทรศัพท์ 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง และศูนย์ปฏิบัติการกรมควบคุมโรค โทรศัพท์ 0 2590 3333
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ