เตรียมแก้โครงสร้างภาษีบุหรี่ครั้งใหญ่

สรรพสามิต จับมือ ศจย. WHO สสส. ระดมสมอง เตรียมแก้โครงสร้างภาษีบุหรี่ครั้งใหญ่  หวังเป้าหมายหลักปรับฐานภาษี คำนึงถึงสุขภาพประชาชน ผู้เชี่ยวชาญ WHO เสนอทางออก เก็บภาษีแบบผสมคิดตามมูลค่าและปริมาณผลิต ยกเลิกขายบุหรี่ในดิวตี้ฟรี อ.จุฬา ชี้ต้องเลิกกำหนดเพดานขั้นสูง พร้อมเสนอรัฐบาลใหม่


ระดมสมอง เตรียมแก้โครงสร้างภาษีบุหรี่ครั้งใหญ่


เมื่อวันที่ 21 เมษายน ที่โรงแรมพลูแมน บางกอกคิงพาวเวอร์ กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ร่วมกับ ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) และ องค์การอนามัยโลก จัดงานสัมมนาเรื่อง “การควบคุมการบริโภคยาสูบโดยใช้มาตรการทางภาษี”  โดยนายมั่น พัธโนทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในงานสัมมนา กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอแก้ไข พ.ร.บ.ยาสูบ พ.ศ. 2509 เมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา โดยให้ปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่จากจัดเก็บตามมูลค่าจากราคาหน้าโรงงาน หรือราคา C.I.F.  เป็นจัดเก็บตามราคาขายปลีก และปรับฐานภาษีเชิงปริมาณ จากเดิมที่จัดเก็บเป็นบาทต่อกรัม เป็นบาทต่อมวน ซึ่งแนวทางนี้จะสามารถเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น มวนละ 1.50 บาท หรือราว  20 บาทต่อซอง ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีบุหรี่ดีขึ้นและป้องกันการลักลอบการขายบุหรี่ผิดกฎหมายได้


ดร.ไอด้า ยูริกลี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ยาสูบขององค์การอนามัยโลก กล่าวว่า กรมสรรพสามิตเดินมาถูกทางแล้วที่จะปรับโครงสร้างภาษี เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยขอเสนอแนวทางดำเนินการที่เหมาะสม ซึ่งแบ่งเป็น 3 มาตรการ คือ 1.มาตรการระยะสั้น คือภายใน 1 ปีต้องเพิ่มอัตราภาษีทั้งระบบ โดยต้องปรับฐานภาษียาเส้น จากเดิม 1 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มเป็น 10 บาทต่อกิโลกรัม จะเพิ่มรายได้ให้รัฐ 10 เท่า จากเดิมที่จัดเก็บได้ 20 ล้านบาท เพิ่มเป็น 216 ล้านบาท และหากเพิ่มราคาขายปลีกของยาสูบอีก 4% จะลดการบริโภคได้ 1.7% และ 2.มาตรการระยะกลาง คือภายใน 2 ปี ต้องปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ ให้คำนวณภาษีทั้งแบบมูลค่า และแบบปริมาณ ในยาเส้นทุกชนิด ซึ่งระบบนี้มี 48 ประเทศทั่วโลกใช้อยู่ แต่ปัจจุบันไทยคิดภาษีแบบมูลค่าเพียงอย่างเดียว และต้องยกเลิกการขายยาสูบในเขตปลอดภาษีในสนามบิน (ดิวตี้ฟรี) ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 6 ของอนุสัญญาขององค์การอนามัยโลกว่าด้วยการควบคุมยาสูบ (FCTC)


ดร.ไอด้า กล่าวว่า มาตรการสุดท้าย คือมาตรการระยะยาว ให้เพิ่มความเชี่ยวชาญของเจ้าหน้าที่สรรสามิต ให้รู้เท่าทันแผนการตลาดของอุตสาหกรรมยาสูบ โดยไม่ให้อุตสาหกรรมยาสูบมีส่วนเกี่ยวข้องการในกำหนดนโยบายด้านภาษี ทั้งนี้ แนวทางการปรับโครงสร้างภาษีทั้งหมดที่จะนำเสนอต่อรัฐบาลจะต้องปิดช่องว่างกฎหมายทั้งหมด ต้องมั่นใจได้ว่าผู้ประกอบการจะไม่ฉวยโอกาสลดราคาบุหรี่ลงในช่วงที่กำลังจะมีการแก้ไขพ.ร.บ.ยาสูบ


นพ.หทัย  ชิตานนท์  ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย กล่าวว่า ข้อมูลจากธนาคารโลกรับรองแล้วว่า ราคาบุหรี่ที่สูงขึ้น 10 % ประเทศที่พัฒนาแล้วจะลดการสูบบุหรี่ลงอย่างน้อย 4 % ส่วนประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยจะลดการสูบบุหรี่ลดลงถึง 8 % ซึ่งหากประเทศไทยมีอัตราผู้สูบบุหรี่ลดลง 10 % จะมีผู้สูบลดลงถึง 42 ล้านคน ช่วยลดจำนวนนักสูบหน้าใหม่ ส่วนผู้ที่สูบอยู่ก็อาจตัดสินใจเลิกในทันทีเพราะราคาสูง และผู้มีรายได้น้อยก็จะเลิกบุหรี่เร็วขึ้น ส่งผลให้มีผู้ป่วย คนเสียชีสิตน้อยลง


รศ.ดร.อิศรา ศานติศาสน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การใช้มาตรการทางภาษีให้มีประสิทธิภาพและได้ผล ต้องปรับอัตราภาษีให้เป็นอัตราตามราคาขายปลีก ต้องเปลี่ยนโครงสร้างจากการกำหนดเพดานราคาจำหน่ายขั้นสูง เป็นกำหนดเพดานราคาขั้นต่ำแทน เพื่อแก้ปัญหาการแจ้งราคาต่ำกว่าความเป็นจริงที่เป็นสาเหตุให้โครงสร้างภาษีบิดเบือน ทั้งนี้  ให้ปรับอัตราภาษียาสูบทุก 2 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งกรมสรรพสามิตต้องพิจารณาว่าจะมีมาตรการอย่างไรและควรวางกลไกตลาดให้ดี หากดำเนินการตามแนวทางนี้ได้จะช่วยลดจำนวนผู้บริโภคยาสูบ และการจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น


ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า จากประสบการณ์การทำงานร่วมกันระหว่าง กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข และ สสส. สนับสนุนให้ปรับขึ้นภาษียาสูบที่ผ่านมา ระบุชัดว่าทำให้จำนวนนักสูบลดลง และรัฐมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งความสำเร็จนี้ ส่งผลให้ไทยเป็น 1 ใน 4 ประเทศ ที่ได้รับเชิญจากองค์การอนามัยโลกร่วมเป็นคณะกรรมการยกร่างมาตรการราคาและภาษีเพื่อลดการบริโภคยาสูบ ร่วมกำหนดแนวทางการคิดคำนวณโครงสร้างภาษีให้แก่ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกนำไปใช้ ซึ่งจะมีการประชุมในเดือนกันยายนนี้


 


 


ที่มา : สำนักข่าว สสส.

Shares:
QR Code :
QR Code