“เด็ก” กับ “ชะตากรรม” ในรั้วร.ร.

ภัยที่คุกคามแต่ป้องกันได้

 

 

“เด็ก” กับ “ชะตากรรม” ในรั้วร.ร.

 

 

            “แม่.. หนูไม่อยากไปโรงเรียน คำออดอ้อนวิงวอนของผู้เป็นลูกที่อาจเกิดขึ้นได้ในหลายครอบครัว ซึ่งคำพูดเหล่านั้นแหละ! มันคือ ทุกข์ ของผู้เป็นพ่อแม่ เพราะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกยอมไปโรงเรียนให้ได้ อีกทั้งยังต้อง สืบ เสาะหาถึงสาเหตุว่าทำไมลูกไม่อยากไป ซึ่งมองเผินๆ แล้วในสถานศึกษาก็ไม่น่ามีอะไรที่พอจะเป็นสาเหตุได้ เนื่องจากมีเพียง “เด็กนักเรียน” และ “ครู” เท่านั้น…

 

            แต่เมื่อสังคมเราเปลี่ยนไป จากข่าวคราวที่พบในหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน ไม่ว่าจะเป็นคลิปวีดิโอเด็กทะเลาะตบตีกัน สาเหตุเพียงแค่ผิดใจกันนิดหน่อยหรือแม้แต่เรื่องผู้ชาย การยกพวกตีกันหรือการแอบดักทำร้ายเพื่อนต่างโรงเรียน การถูกรีดไถเงินจากรุ่นพี่ รวมถึงการใช้วาจาส่อเสียดกับเด็กผู้หญิงและที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น…การถูกผู้เป็น ครู ในโรงเรียนกระทำการลงโทษในแบบผิดๆ และรุนแรงเกินกว่าเหตุ โดยเฉพาะการล่วงละเมิดทางเพศ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสภาพการณ์ของ “ความรุนแรงในโรงเรียน” ทั้งสิ้น

 

            โดย ผศ.ดร.สมบัติ ตาปัญญา จากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ดูแลรับผิดชอบโครงการส่งเสริมสนับสนุนและคุ้มครองสุขภาพและมนุษยชนด้านเด็ก เยาวชนและครอบครัว ได้สำรวจข้อมูลด้านความรุนแรงถึงปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนกับเด็กประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 3,047 คน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2549 ที่ผ่านมาพบว่า ใน 8 จังหวัด ทุกภาค อาทิ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี ขอนแก่น สงขลา พบว่า นักเรียนกว่า 40% เคยถูกรังแกถึงเดือนละ 2-3 ครั้ง

 

            ซึ่งการรังแกกันในหมู่เพื่อนจะเกิดมากที่สุดในชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และลดลงตามระดับชั้นที่สูงขึ้น ซึ่งพฤติกรรมก็จะคล้ายกันในแทบทุกภาคคือ การทำร้ายจิตใจด้วยวาจา ล้อเลียน 47.9% เหยียดหยามเชื้อชาติ ผิวพรรณ 27.9% และพบการคุกคามทางเพศ 10.7% ยกเว้นภาคตะวันออกที่มีการแย่งเงินและของใช้เพิ่มมากอีกด้วย

 

“เด็ก” กับ “ชะตากรรม” ในรั้วร.ร.

 

            มองดูแล้ว!!! ตัวเลขเกือบครึ่งหนึ่งของนักเรียนทั้งหมดถูกกระทำความรุนแรงแทบทั้งสิ้น แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ เด็กนักเรียนที่ให้ข้อมูลกว่า 41.2% กลับระบุว่า ครูหรือผู้ใหญ่แทบไม่ให้ความช่วยเหลือแม้แต่น้อย และที่น่าตกใจไปกว่านั้น เมื่อถามว่า 2 เดือนที่ผ่านมาผู้ปกครองติดต่อกับทางโรงเรียน เพื่อให้ทางโรงเรียนช่วยหามาตรการหยุดการรังแกกันหรือไม่ นักเรียนมากถึง 75.2% ตอบว่าไม่มีเลย!!

 

            นอกจากความรุนแรงที่พบเห็นในหมู่นักเรียนด้วยกัน การกระทำความรุนแรงยังเกิดขึ้นในลักษณะความสัมพันธ์แนวดิ่งคือ ครูกระทำความรุนแรงกับเด็กนักเรียนโดยผ่านทาง “การทำโทษ”

 

            จากการสำรวจเดียวกันนี้ยังระบุถึงวิธีการลงโทษที่สร้างความรุนแรงต่อเด็กด้วยวิธีหลากหลาย ตั้งแต่ การใช้มือ ผ้า สิ่งของ อุดปาก/จมูกของนักเรียน, ใช้ของร้อนจี้ ลวก อวัยวะต่างๆ ของนักเรียน, ใช้เท้าเตะ ถีบ ใช้ของไม่มีคมหรือกำปั้นทุบ ตีซ้ำหลายๆ ครั้ง, ขู่ให้กลัวด้วยมีดหรือปืน ขังนักเรียนไว้ในห้องมืดๆ ให้กินยาบางอย่างหรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์, เอาพริกหรือสิ่งที่มีรสเผ็ด ขม มากๆ ใส่ปากเด็ก, บังคับให้อยู่ในท่าที่ไม่สบายหรือเสียศักดิ์ศรี, ตบหน้า ใช้เท้าเตะถีบ หยิก ดึงผม หรือให้ออกกำลังกายมากเกินควร เช่น วิดพื้น วิ่งรอบสนาม หรือใช้สิ่งของที่ร้อนนาบตามตัว

 

            นอกจากกระทำความรุนแรงทางกายแล้ว ยังพบอีกว่า ครู ยังได้กระทำความรุนแรงทางจิตใจ ทั้งวิธีการดุด่า เยาะเย้ย ถากถาง ประจาน แยกให้โดดเดี่ยวหรือแกล้งทำเมินเฉยไม่สนใจเด็กอีกด้วย ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ “ครู” บางคนยอมรับว่าเคยกระทำซ้ำๆ กันหลายครั้ง โดยสถานที่ที่มักพบว่าเกิดความรุนแรงมากที่สุดคือ ห้องเรียนเวลาครูไม่อยู่ รองลงมาทางเดินหน้าห้องเรียนหรือบันได สนามโรงเรียน โรงอาหาร ในห้องเรียนต่อหน้าครู ตามลำดับ

 

            นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เด็กไม่อยากไปโรงเรียน เพราะระหว่างทางนั้นเด็กอาจพบเจอกับกลุ่มวัยรุ่น อันธพาลหรือคนเมาที่อาจจะเข้ามารีดไถ่เงินหรือใช้วาจาที่ไม่เหมาะสมกับเด็กได้

 

            ทั้งหมดนี้…สะท้อนให้แล้วเห็นว่า ความรุนแรงในโรงเรียนนั้นเป็นเรื่อง “ใหญ่” และสำคัญที่ควรเร่งหาทางออกและแก้ไข เพราะหากเด็กถูกกระทำความรุนแรงตั้งแต่ช่วงต้นของชีวิตแล้ว ย่อมส่งผลให้เด็กคนนั้นเติบโตขึ้นมาด้วยความไม่มั่นคง เป็นผู้ใหญ่ไม่สมบูรณ์และสิ่งสำคัญที่สุดคือ อาจทำให้เด็กคนนั้นกลายเป็นผู้กระทำความรุนแรงเสียเอง

 

            ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ เช่นเดียวกับปัญหาความรุนแรงนี้ ครอบครัวควรเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาต่าง เพราะสถาบันครอบครัวเป็นสถาบันเดียวที่อยู่ใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุด เริ่มจากพ่อแม่จำเป็นต้องเรียนรู้ เข้าใจความต้องการของลูกในแต่ละช่วงวัย เพื่อรับรู้ถึงอารมณ์ และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับลูก อย่าตามใจลูกมากเกินไป จะทำให้เด็กเอาแต่ใจ คิดแต่ว่า ฉันต้องเก่งกว่าคนอื่น เวลาถูกตีนิดเดียว ก็น้อยใจ กลายเป็นเรื่องใหญ่โตในที่สุด ให้กำลังใจกับลูกเมื่อลูกทำผิด เพราะเมื่อเกิดปัญหาอะไร เช่นที่โรงเรียน ลูกจะได้กล้าพูด บอกเล่า อันนำไปสู่ทางออกของปัญหา พยายามบอกลูกอยู่เสมอว่า ไม่ควรเอาปมด้อยของเพื่อนมาล้อเลียน เพราะจะทำให้เพื่อนเสียใจแต่ต้องสอนให้เข้าใจ และเป็นกำลังใจให้กับเพื่อน

 

            รวมถึงพ่อแม่จำเป็นต้องแสดงออกถึงความรัก ความอบอุ่น และให้เวลาในการอบรมเลี้ยงดู เพื่อให้ลูกไม่รู้สึกต้องพึ่งพาสิ่งเร้าภายนอก เช่น เพื่อน หรือสื่ออื่นๆ อันจะซึมซับให้เกิดความรุนแรงตามมาและควรวางตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก ไม่มั่วสุมสิ่งเสพติดหรือหมกมุ่นอบายมุข รวมทั้งไม่ทะเลาะ ด่าทอหรือตบตีกันให้ลูกๆ ต้องรับรู้เป็นประจำจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้เด็กลอกเลียนแบบพฤติกรรมดังกล่าวได้ อีกทั้งต้องเข้าใจวิธีอบรมเพื่อสร้างวินัยให้กับลูกอย่างเหมาะสม ไม่ลงโทษ หรือใช้วิธีที่รุนแรงแบบไร้เหตุผล ซึ่งอาจใช้วิธีการพูดคุย แลกเปลี่ยน ตั้งกติการ่วมกันกับลูก

 

            ยังไม่หมดเพียงเท่านี้!!! ครอบครัวจำเป็นต้องมีส่วนร่วมกับโรงเรียน ซึ่งจุดนี้สำคัญมาก ไม่ใช่พอเด็กมีปัญหาหรือเรื่องไม่สบายใจจากโรงเรียน พ่อแม่กลับไม่สนใจ ซ้ำร้ายยังพูดทับถมจนลูกต้องเป็นทุกข์มากกว่าเดิม และที่สำคัญที่สุด!!! พ่อแม่ต้องเข้าใจ และฟังเสียงของลูกให้มากขึ้น เช่น การพูดคุย การให้คำปรึกษา หรือเปิดโอกาสให้ลูกได้ระบายความทุกข์ที่อยู่ในใจ และทำกิจกรรม ใช้เวลาว่างอยู่กับลูก เช่น ทำอาหารร่วมกันหรือไปเล่นกีฬาด้วยกัน เพราะจะช่วยสร้างบรรยากาศของครอบครัวมีสุขได้เป็นอย่างดี

 

            อย่างไรก็ดี…นอกจาก ครอบครัวแล้ว โรงเรียน เองก็มีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะ ครูผู้เป็นพ่อแม่คนที่สอง ต้องมีความรักความเมตตาต่อเด็กๆ ทุกคน รู้จักที่จะพัฒนาความรู้ความเข้าใจต่อเด็กในแต่ละช่วงวัยที่แตกต่างกัน ขณะเดียวกันครูควรเปิดใจกว้าง ยอมรับฟังความคิดของเด็ก ไม่เลือกปฏิบัติ ลดความรุนแรงต่อเด็กทั้งในประเด็นของ วิธีการและ สาเหตุของการลงโทษ รวมถึงการสอดส่องดูแลเด็กภายในโรงเรียนตามจุดต่างๆ จากที่เคยยืนรับเด็กหน้าโรงเรียนในตอนเช้า ก็ใช้เวลาส่วนนี้ไปเดินตรวจตราตามรอบโรงเรียน ซึ่งน่าจะช่วยลดปัญหาต่างๆได้

 

            หากทุกฝ่ายร่วมมือกัน สร้างความเข้าใจกับอารมณ์ ความต้องการและการเปลี่ยนแปลงของเด็กแล้วล่ะก็!!! ความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นก็จะค่อยๆ ดับ และหายไปในที่สุด…

 

 

 

 

 

 

เรื่องโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th

 

 

Update:16-11-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

 

Shares:
QR Code :
QR Code