เด็กไทยเสี่ยงตาบอดสูงขึ้นจากโรคตา
จากการสำรวจในช่วงปี 2549-2550 พบว่าประชากรไทยมีความชุกของตาบอด 0.59% และสายตาเลือนราง 1.57% และโรคที่เป็นสาเหตุของตาบอดที่สำคัญ 5 โรค ได้แก่ โรคต้อกระจก โรคต้อหิน โรคของจอตา โรคที่ทำให้ตาบอดในเด็ก และโรคของกระจกตา
น.พ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า สภาวะตาบอด สายตาเลือนราง รวมทั้งโรคตา เป็นปัญหาสาธารณสุขในประเทศไทย จากการสำรวจในช่วงปี 2549-2550 พบว่าประชากรไทยมีความชุกของตาบอด 0.59% และสายตาเลือนราง 1.57% และโรคที่เป็นสาเหตุของตาบอดที่สำคัญ 5 โรค ได้แก่ โรคต้อกระจก โรคต้อหิน โรคของจอตา โรคที่ทำให้ตาบอดในเด็ก และโรคของกระจกตา
กรมการแพทย์เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงได้จัดทำแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพด้านจักษุวิทยา ภายใต้นโยบายการปฏิรูปกระทรวงสาธารณสุขเพื่อคุณภาพชีวิตประชาชนไทย ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้วันพฤหัสบดี สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนตุลาคมของทุกปี เป็นวันสายตาโลก (world sight day) ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 10 ต.ค.56 จึงได้จัดกิจกรรมโครงการลดอัตราตาบอดในเด็กไทย เพราะปัญหาสายตา หากได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที จะทำให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีคุณภาพ
น.พ.สรศักดิ์ โล่ห์จินดารัตน์ รองผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่า อัตราความชุกของสภาวะตาบอดในเด็กไทยอายุ 1-14 ปี คิดเป็น 0.11% เป็นอัตราที่สูงกว่าประมาณการขององค์การอนามัยโลก ซึ่งเท่ากับ 0.07% ทั้งนี้องค์การอนามัยโลกตั้งเป้าหมายไว้ว่าในปี 2563 อัตราตาบอดของเด็กในทุกประเทศไม่ควรเกิน 0.04% โดยพบว่าสาเหตุของตาบอดในเด็กไทยเกิดจากโรคจอตาในทารกคลอดก่อนกำหนด 66.66% และตามัวที่เกิดจากภาวะสายตาผิดปกติที่ไม่ได้รับการแก้ไข 33.33% ดังนั้น การที่จะลดอัตราความชุกของสภาวะตาบอดในเด็กไทย ต้องมุ่งเน้นการควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุสำคัญ คือ โรคจอตาในทารกคลอดก่อนกำหนด และภาวะสายตาผิดปกติที่ไม่ได้รับการแก้ไข โดยกลุ่มเป้าหมายคือ เด็กที่มีปัญหาภาวะสายตาผิดปกติ ให้ได้รับการวินิจฉัยจากจักษุแพทย์และได้รับแว่นตาอันแรกที่เหมาะสม เพื่อลดอัตราการตาบอดในอนาคต
ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง