“เงินของเราสิทธิของใคร”

เตรียมตัวรับก.ม.คุ้มครองผู้บริโภค

 

“เงินของเราสิทธิของใคร”

          มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ(คคส.) สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม(สบท.) เครือข่ายคุ้มครองสิทธิจังหวัด สำนักงานสนับสนุนกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน(ประเทศไทย) สำนักงานส่งเสริมการปฏิรูประบบคุณภาพชีวิตเพื่อเกษตรกร ชุมชนและสังคม (สปกช.)รวมทั้งองค์กรอิสระอื่น ๆ ร่วมกันจัดงานประชุมเรื่อง “เงินของเรา สิทธิของใคร”เนื่องในวันคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคสากล และวันคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในประเทศไทย (15 มี.ค.ของทุกปี) ณ รร.ริชมอนด์ เมื่อเร็ว ๆ นี้

 

          รศ.ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) กล่าวว่างานสัมมนาครั้งนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสแถลงความคืบหน้า 3 ประเด็นหลัก ประเด็นแรกเพื่อใช้เป็นโอกาสเตรียมความพร้อมในเรื่องกฎหมายการจัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของรัฐสภาตามมาตรา 61 ก่อนที่จะตราเป็นพระราชบัญญัติต่อไป  ประเด็นถัดมาเพื่อผลักดันให้รัฐบาลหันมาสนับสนุนเรื่องการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคด้วยการจำลองหลักประกันทางสุขภาพ โดยให้รัฐบาลเป็นผู้อุดหนุนจัดสรรงบประมาณรายหัวแก่ประชาชน และประเด็นถัดมาการแถลงสถานการณ์อัพเดทของประเด็นปัญหาฮอตฮิตในสังคมไทย

 

          ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฐานะประธานคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค กล่าวผ่านคลิปวิดีโอถึงความคืบหน้าว่า หลังจากที่รัฐบาลได้รับข้อเสนอจากองค์กรอิสระในส่วนต่าง ๆ ซึ่งจะผลักดันให้มีงบประมาณให้องค์กรอิสระคุ้มครองผู้บริโภค ด้วยการอุดหนุนจากรัฐบาลหัวละ 5 บาทต่อคน ขณะนี้ ได้ถูกบรรจุไว้ในระเบียบวาระภายในเดือนพฤศจิกายนนี้แล้วซึ่งรัฐบาลก็จะเร่งดำเนินการต่อไป

 

          รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “สิทธิผู้บริโภค สิทธิพลเมือง” ว่า การเป็นพลเมืองที่ดีต้องรู้จักสิทธิและหน้าที่ตัวเอง ก็จะทำให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคได้ แม้ว่าเราจะมีกฎหมายหรือกติกาอื่น ๆในสังคมเพื่อควบคุมผู้ผลิต แต่หากผู้บริโภคไม่ใช้สิทธิของตัวเองตรวจสอบสินค้าและบริการต่าง ๆ จะทำให้กฎหมายไร้ความศักดิ์สิทธิ์หากพัฒนาสิทธิผู้บริโภคให้เข้มแข็งจะทำให้บ้านเมืองโดยรวมพัฒนาได้การละเมิดสิทธิ หรือไม่รู้สิทธิและหน้าที่ของคนในสังคมก็จะลดลงแต่ตอนนี้ ร้อยละ 90 ของผู้ผลิตกลายเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์จากพ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มากกว่าผู้บริโภคเสียอีก เพราะผู้ผลิตมีองค์กรในการจัดการ

 

          นายกมล กมลตระกูล กรรมการนโยบาย TPBS กล่าวว่า การโยง “สิทธิผู้บริโภค” และ “สิทธิมนุษยชน” เข้าไว้ด้วยกัน เพราะเป็นสิทธิพื้นฐานของสิทธิมนุษยชนว่าด้วยเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมนอกจากนี้ยังเชื่อมั่นว่า หากมอง “นักการเมือง” เป็น “สินค้า”ผู้บริโภคก็น่าจะมีสิทธิตรวจสอบ หากไม่พอใจก็มีสิทธิในการเรียกคืนหรือไม่ หากรัฐไม่ทำงานตามที่ได้กำหนดแล้ว ก็เรียกร้องให้ปลดได้เหมือนการเรียกร้องสิทธิผู้บริโภค

 

          ด้าน ศ.ดร.อมรา พงศาพิชญ์ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกล่าวถึงปัญหา “การเรียกร้องสิทธิ” ในฐานะที่เป็นผู้ลงดาบในการตัดสินกรณีที่ผู้ยื่นคำร้องมานั้นว่า ประชาชนจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทรรศน์ในเรื่องสิทธิ แม้ว่าตอนนี้คนเริ่มตื่นตัวและเข้าใจมากขึ้น แต่ต้องการให้ตระหนักถึงความแตกต่างระหว่าง “เรื่องสิทธิสาธารณะ” กับ “สิทธิชุมชน” แม้พวกเขาจะมีสิทธิ แต่ก็มีหน้าที่ที่จะต้องเรียนรู้สิทธินั้นอย่างถูกต้องด้วย เพราะถ้าหากขาดการเรียนรู้เรื่องกลไกที่ถูกต้อง ก็จะช่วยผู้ถูกละเมิดอย่างถูกต้องไม่ได้

 

          นอกจากนี้ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกล่าวถึงปัญหา กรณีรูปแบบการตั้งด่านตรวจค้นของคนเสื้อแดงในพื้นที่ต่าง ๆว่า ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หากบุคคลนั้นไม่ได้รับอำนาจหน้าที่ตรวจค้นถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ถูกตรวจค้นสามารถแจ้งความได้หากเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิกเฉยก็สามารถฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ของรัฐในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

 

          ด้าน นายปรีดา เตียสุวรรณ์ เครือข่ายนักธุรกิจเพื่อสังคม กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างคู่”แรงงาน” กับ “เจ้าของอุตสาหกรรม” ว่ามีสัมพันธภาพที่ดี และเชื่อมั่นว่า แรงงานภาคอุตสาหกรรมจะกลายเป็นกลุ่มต่อรองที่เข้มแข็งในอนาคต เนื่องจาก “อาหาร” เป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานที่สำคัญเหนือกว่าสินค้าอื่น ๆ โดยเฉพาะเมื่อมองถึงการเพิ่มของประชากรในประเทศอินเดียและจีนอย่างต่อเนื่อง

 

          “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยตรัสถามผมว่า ดูแลคนอย่างไร คนเยอะอย่างนี้ ผมก็ตอบว่า ตอนนี้อำนาจต่อรองมักสูงขึ้นมากตอนนี้เจ้าของโรงงานตอนกลับบ้านต้องมายืนยกมือไหว้พนักงานก่อนกลับกันแล้ว ต่อไปชนชั้นแรงงานก็จะกลายเป็นประชาชนชั้นกลางส่วนใหญ่แล้ว พระองค์ก็ทรงพระสรวล แต่ความจริงก็คือ เดี๋ยวนี้ผู้ผลิตเขาเริ่มดูแลพนักงานมากขึ้น เพราะตอนนี้ภาคเกษตรจะมีอำนาจการต่อรองมากขึ้น แม้การเมืองไม่ดี ภาคอุตสาหกรรม ภาคท่องเที่ยวย่ำแย่ แต่ภาคอุตสาหกรรมอาหารยังคงดีอยู่”

 

          นายปรีดา ยังกล่าวอีกว่าในรอบ 37 ปี ที่ผ่านมานับตั้งแต่เหตุการณ์ 16 ต.ค. ประเทศไทยได้พัฒนามาไกล เปลี่ยนคนรากหญ้ามาเป็นคนชั้นกลางได้จำนวนมาก จนถึงปัจจุบันสังคมไทยเหลือคนชนชั้นรากหญ้า 8-9 เปอร์เซ็นต์ของประชากร ซึ่งคนจำนวนนี้เป็นเกษตรกรที่จะเป็นกำลังสำคัญในอนาคต และตอนนี้มาอยู่ที่ราชประสงค์ออกมาละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของคนอื่น มีการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จกับผู้ชุมนุมมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์  ขณะเดียวกันรัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมาก็ไม่เข้มแข็งในการพยายามให้คนกลุ่มนี้ขยับขึ้นมาเป็นชนชั้นกลางให้ได้ วิธีการหนึ่งคือการประกันราคาพืชผลทางการเกษตร

 

          “ประเทศต้องเร่งปฏิรูปสังคมไม่ให้นักการเมืองมาใช้เงินภาษีของประชาชนที่เป็นรายได้ของประเทศที่มีถึง 60 เปอร์เซ็นต์มาสร้างปัญหาปลุกชนชั้นรากหญ้ามาเป็นกำลังต่อรอง”นายปรีดากล่าวทิ้งท้าย

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

Update: 29-04-53

อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร

Shares:
QR Code :
QR Code