เครือข่ายแรงงานสะท้อนปัญหา “สุขภาวะการทำงาน”
ที่มา : เว็บไซต์คมชัดลึก
ภาพประกอบจากเว็บไซต์คมชัดลึก
เครือข่ายแรงงาน สะท้อนปัญหา สุขภาวะการทำงาน เผยผลสำรวจ ตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2560 จนถึงปัจจุบัน มีแรงงานเสียชีวิตจากการทำงานจำนวนถึง 544 คน ส่วนใหญ่เสียชีวิต จากการใช้เครื่องจักรในอุตสาหกรรม เนื่องเครื่องจักรเก่า สภาพไม่พร้อมใช้งาน พร้อมแนะ ลูกจ้างช่วยเป็นหูเป็นตา เจออะไรที่ผิดปกติอันตราย รีบแจ้งภาครัฐทันที
ขณะที่กองควบคุมโรค เผยผลสำรวจที่น่าตกใจ โรคอ้วน-เบาหวานในพี่น้องแรงงานมาอันดับหนึ่ง รองลงมาเป็นโรคซึมเศร้าคิดฆ่าตัวตาย ส่วนสำนักงานประกันสังคม แนะลูกจ้างในระบบ ใช้สิทธิ์ตรวจโรคประจำปีน้อยมาก แนะใช้สิทธิ์เพื่อสุขภาพที่ดี ขณะที่วงเสวนา ตกผลึก ตั้งคณะทำงาน เกี่ยวกับการคุ้มครองสุขภาพแรงงาน โดยมีตัวแทนจากทุกภาคส่วน เพื่อผนึกร่วมเป็นเครือข่ายสู่ความยั่งยืน
เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ กระทรวงแรงงาน สภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทยและเครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส.จัดเสวนา “นโยบายรัฐกับความร่วมมือการส่งเสริมสุขภาวะคนทำงานในสถานประกอบการ” โดยมีตัวแทนภาครัฐ ตัวแทนสถานประกอบการ ตัวแทนลูกจ้างเข้าร่วมเสวนา ซึ่งมีพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธี
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า จากสถิติประชากรในประเทศมีประมาณ 66 ล้านคน มีประชากรอยู่ในวัยแรงงานประมาณ 38 ล้านคน มีแรงงานที่มีงานทำ 37 ล้านคน คนว่างงานคิดเป็น 1.1 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าอยู่ในอันดับ 4 ของโลก รวมทั้งเรามีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านประมาณ 3 ล้านเศษ และขณะนี้ประเทศไทยของเรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ที่มี ประมาณ 11 ล้านคน จากนี้การบริหาร จึงต้องขับเคลื่อนให้ครบถ้วนทุกด้าน โดยจะเน้นยุทธศาสตร์ด้านแรงงาน ที่ต้องมีทักษะฝีมือ รอบรู้ทางด้านภาษา และเทคโนโลยี และรัฐบาลจะทำการหนุนเสริมอย่างเต็มที่ รวมทั้งจะดำเนินการนโยบาย การคุ้มครองแรงงาน ให้มีความปลอดภัย ทางด้าน อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน คู่ขนานกันไปด้วย
ขณะที่ นายภาคภูมิ สุกใส ผู้จัดการโครงการพัฒนาและสร้างเสริมสุขภาวะคนทำงานในสถานประกอบการ หรือ คพสก. กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 18 เดือนที่ดำเนินโครงการมา เรามีการริเริ่มจัดทำสถานประกอบการต้นแบบจำนวน 20 แห่ง ซึ่งเกี่ยวกับการพัฒนาและสร้างเสริมสุขภาวะคนทำงานในสถานประกอบการ โดยเริ่มให้มีห้องพยาบาล เพื่อดูแลผู้ป่วยเบื้องต้นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการคัดกรองโรค ก่อนส่งต่อไปยังโรงพยาบาล เพื่อลดปัญหาความแออัดของผู้ป่วย โดยเป้าหมาย โครงการ สถานประกอบการต้นแบบ ต้องจัดการปัญหา ผ่านความร่วมมือ จากภาครัฐ สถานประกอบการ ลูกจ้าง สู่การปฏิบัติ เพื่อให้แรงงานมีความปลอดภัยในการทำงานในการส่งเสริมการป้องกันโรค
นางอรพิน วิมลภูษิต ผู้แทนสำนัก 9 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. กล่าวว่า ที่สสส.มาสนับสนุนโครงการนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาจะเห็นว่า ในส่วนของสุขภาวะคนทำงานในสถานประกอบการ พี่น้องแรงงาน 1 คน ที่มีกฏหมาย คุ้มครองแรงงานอยู่จำนวน 5 ฉบับ ถ้าไม่มีการหนุนเสริม ก็อาจมีการข้ามขั้นตอนไป จึงมีความจำเป็นต้องมีการประสานภาคีเครือข่ายต่างๆ ให้มีการจัดการตัวเอง โดยเฉพาะ การสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันตัวเองได้ ทำให้เกิดเป็นพลัง จนนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำ การเข้าถึงสถานพยาบาลได้ โดยโครงการนี้จะเติมเต็ม ประสานทุกหน่วยงาน ปิดช่องว่างการทำงานที่มีข้อจำกัด ต่างๆ จนนำมาซึ่งการจัดการตัวเองได้ในอนาคต
แพทย์หญิง สาริษฐา สมทรัพย์ แพทย์ชำนาญพิเศษ กรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยมีหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพ เราได้งบจาก สสส. เช่นกัน อยากเสนอไอเดีย ที่เป็นแพคเกจสำคัญ ที่สามารถทำได้เลย ในหน่วยบริการสุขภาพภายในสถานประกอบการ เพื่อให้แรงงาน มีสุขภาพที่ดี การให้ความรู้ เรื่องการตั้งครรภ์ไม่พร้อม การมีสุขภาพที่ดีอยู่ได้สุขสบายหลังการเกษียณ การให้ความรู้การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ในสถานประกอบอย่างถูกที่ถูกเวลา การส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เป็นต้น ซึ่งผู้ประกอบการไหนสนใจสามารถติดต่อมาได้ ที่กรมอนามัย ซึ่งทางกรมอนามัยยินดีให้การปรึกษา เพื่อสุขภาวะที่ดีของพี่น้องแรงงาน
นางสาว รุ้งประกาย วิฤทธิ์ชัย นักวิชาการชำนาญการ สำนักโรคจากการประกอบอาชีพ และสิ่งแวดล้อม กองควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรคของพี่น้องแรงงานในปัจจุบัน ไม่ใช่โรคจากการทำงาน เจอเยอะมากที่สุด คือปัญหา โรคอ้วน เบาหวาน ความดัน ซึ่งเพิ่มขึ้นทุกปี รองลงมาปัญหาความเครียด เป็นโรคซึมเศร้าคิดฆ่าตัวตายสูงขึ้นเรื่อยๆ เรื่องนี้หลายภาคส่วน ต้องผนึกกำลังตามนโยบายชาติ เซฟตี้ไทยแลนด์ โดยเฉพาะการ แชร์ข้อมูลร่วมกัน เพื่อวางแผน การดูแลขับเคลื่อนสุขภาพทุกมิติ ที่รวมไปถึง สุขภาพจิตของผู้ใช้แรงงานด้วย
นายวรรณรัตน์ ศรีสุกใส ตัวแทนจากกองความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า ในข้อกฎหมายระบุชัดว่า สถานประกอบการต้องจัดอบรมเรื่องความปลอดภัย อย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อปี แต่ที่ผ่านมา ยังมีสถานประกอบการบางรายไม่ปฏิบัติตาม ทั่วประเทศมีการเปรียบเทียบปรับเดือนนึง คิดเป็นเงิน ประมาณ 2 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่ายังพบสิ่งไม่ถูกต้องในสถานประกอบการอยู่หลายแห่ง ทั้งนี้ ทุกจังหวัด เรามีเวที หารือการทำงานร่วมกัน สิ่งไหนไม่ปลอดภัย ก็ทำการแก้ไขกัน
พร้อมเผยว่า ในปัจจุบันนี้ตัวเลขคนเสียชีวิตจากการทำงานยังพุ่งสูงอยู่ จากผลสำรวจ ตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2560 ถึงปัจจุบัน มีผู้เสียชีวิตจากการทำงาน จำนวน 544 คน ส่วนใหญ่ แรงงานไม่ปฏิบัติตามกฏระเบียบ รวมทั้ง อุปกรณ์ เครื่องจักรต่างๆ ก็เก่าไม่พร้อมใช้งาน จนทำให้ที่ใช้ประสบอุบัติเหตุ ตัวเลขเหล่านี้ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน จริงๆ แล้ว เรามีการร่วมมือกันตลอด ลูกจ้างก็มีการแจ้งมาที่เรา บางครั้งเจ้าของอาจดูแลไม่ทั่วถึง ซึ่งการแจ้งหากพบเห็นสิ่งไหนไม่ปลอดภัย สามารถมาแจ้งได้ที่เราทันที แล้วจะทำการเร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบให้
นางวิไลวรรณ ศรีสูงเนิน รักษาการผู้อำนวยการ สำนักงานกองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า จากผลสำรวจลูกจ้างในระบบประกันสังคม พบว่า ส่วนใหญ่ไม่ไปใช้สิทธิ์ ตรวจโรคประจำปี ซึ่งมีกว่า 1 ล้านคน หรือ มีเพียง 9 เปอร์เซ็นต์ จากผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด และขณะนี้ เราพยายามปรับแก้ไขกฎหมาย ที่จะเป็นประโยชน์ ลูกจ้างอย่างดีที่สุด ตั้งแต่เข้าระบบ จนถึงตาย
นายบรรจง บุญรัตน์ ประธานสภาองค์การลูกจ้าง สภาศูนย์กลางแรงงาน แห่งประเทศไทย กล่าวว่า นโยบายภาครัฐ มาสู่สถานประกอบการต้องมีความชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น การให้ความรู้เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับ สุขภาวะ เรื่องอาหารการกิน อยากให้ผู้มีความรู้ อย่างเช่น แพทย์ พยาบาล มาให้ความรู้แก่ลูกจ้างถึงสถานประกอบการจะดีที่สุด // หากมีการร้องเรียนไปยังภาครัฐ เกี่ยวกับเรื่องความไม่ปลอดภัย อยากให้เจ้าหน้าที่รัฐ ทำงานลงพื้นที่เชิงรุกมากกว่านี้ เพื่อที่จะได้รับทราบถึงปัญหาที่แท้จริง
นายสุวรรณ สุขประเสริฐ ประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรม กล่าวว่า ต้องยอมรับว่า ในปัจจุบัน ความปลอดภัยต่อการทำงานของลูกจ้างถือว่ามีความสำคัญมาก หากลูกจ้าง เป็นอะไรไป เสมือนกับการตัดเท้าตัดมือของตัวเอง ฉะนั้น จึงมีการกำชับสถานประกอบการทุกแห่ง ต้องมีการจัดอบรมอบรมลูกจ้างเพื่อความปลอดภัยในการทำงาน ใน 1 ปี ต้องมีอย่างน้อย 6 ชั่วโมงเต็มๆ
ซึ่งการขับเคลื่อนในส่วนนี้ นายจ้างต้องนำก่อน เห็นอะไรดี ต้องทำก่อน จากนั้น ลูกจ้างก็ต้องให้ความร่วมมือด้วย ยกอย่างเช่น การตรวจร่างกาย ลูกจ้างส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ด้วย ไม่ใช่นายจ้างต้องดำเนินการฝ่ายเดียว เราต้องขับเคลื่อนไปด้วยกัน
ปิดท้ายที่ นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หลังการเสวนา เครือข่ายได้ข้อสรุปสาระสำคัญอยู่ 3 ประเด็นหลัก คือ 1 . เราต้องตั้งคณะทำงาน โดยมีตัวแทนจากองค์กรละ 1 คน เพื่อมาทำเรื่องสุขภาวะแรงงานโดยเฉพาะ 2. เรามองว่าจะทำอย่างไร ให้นายจ้าง สถานประกอบการมีแรงจูงใจ ที่จะส่งเสริมการป้องกันโรคในสถานประกอบการของตัวเอง โดยเฉพาะโรงงานที่มีสถานพยาบาล และ 3. องค์กรภาคี ขณะนี้เรามีทั้งหมด 20 องค์กร โดยเฉพาะในภาคเอกชน ทำอย่างไรที่จะให้เรามีองค์กรร่วม อยู่ในโครงการนี้ เพื่อทำการสานต่อโครงการนี้ต่อไป